‘เร็วเท่าไรก็ไม่เคยพอ’ น่าจะเป็นคำนิยามของผู้บริโภคยุคใหม่ ที่ต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่เร็วมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งความเร็วระดับ 4G ก็ไม่เพียงพอสำหรับผู้ใช้บางกลุ่มไปเสียแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้งานระดับ heavy ที่มีการ Live Streaming ดูวิดีโอ 4K รวมไปถึงการดาวน์โหลด/อัพโหลดไฟล์ขนาดใหญ่

           เมื่อความต้องการของผู้บริโภคสอดรับไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้การแข่งขันของแต่ละโอเปอเรเตอร์ต้องกลับมามุ่งเน้นในเรื่องของเครือข่ายอันเป็นหัวใจหลักของธุรกิจอีกครั้ง หลังจากที่ผ่านมาหลายค่ายได้พยายามฉีกไปแข่งขันในเรื่องคอนเทนต์หรือสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม 

           ซึ่งผู้นำตลาดอย่าง ‘เอไอเอส’ ที่แม้จะประมูลคลื่น 4G มาช้ากว่ารายอื่น แต่ก็เดินหน้าลุยเรื่องโครงข่ายมือถือแบบเต็มสปีดด้วยการทุ่มงบลงทุนกว่า 40,000 ล้านบาทในปี 2560 เพื่อยกระดับเครือข่ายไปสู่ Next G Network (Gigabit Network) หรือความเร็วอินเทอร์เน็ตระดับ กิกะบิตเพื่อรองรับการใช้งานดาต้าที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

          นับตั้งแต่วันประกาศวิสัยทัศน์ AIS 2017 เมื่อช่วงต้นปี มาจนถึงวันนี้ Next G ก็ได้ก่อกำเนิดเป็นรูปเป็นร่าง และพร้อมเปิดให้บริการจริงเป็นรายแรกในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเป็นการจับมือกับ KT หรือ Korea Telecom ผู้ให้บริการเครือข่ายจากเกาหลีใต้ ในการพัฒนาเทคโนโลยี Multipath TCP ซึ่งเป็นการรวมความเร็วอินเทอร์เน็ตของเครือข่ายมือถือ AIS 4G ADVANCED และเครือข่ายไวไฟ AIS SUPER WiFi เข้าด้วยกัน ทำให้เกิดเครือข่ายใหม่ ‘AIS Next G’ ที่มีความเร็วสูงสุดถึง 1 Gbps เหนือกว่า 4G และ 4.5G 

           ปรัธนา ลีลพนัง รักษาการ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า “เรามุ่งคิดค้นและมองหาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทันสมัย เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าอยู่เสมอ และด้วยศักยภาพเครือข่ายอันแข็งแกร่งที่เอไอเอสมีอยู่ ทั้งเครือข่ายมือถือ AIS 4G ADVANCED ที่ครอบคลุมเป็นอันดับ 1 ทั่วประเทศ และเครือข่าย AIS SUPER WiFi ความเร็วสูงที่ครอบคลุมกว่า 80,000 จุดทั่วประเทศ ทำให้เราสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมเครือข่ายใหม่ ‘AIS NEXT G’ ที่ให้ความเร็วอินเทอร์เน็ตสูงสุดถึง 1Gbps ในขณะที่คู่แข่งเร็วสุดแค่ 500 - 600 Mbps เท่านั้น”

           แน่นอนว่าความเร็วระดับนี้ไม่ใช่ว่าสมาร์ทโฟนรุ่นจะใช้ได้ ซึ่งเอไอเอสก็ได้จับมือกับ ‘ซัมซุง’ ในการพัฒนาเฟิร์มแวร์ที่รองรับการใช้งาน AIS NEXT G ซึ่งในเบื้องต้นก็มีรุ่นที่สามารถใช้งานได้ทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่ Samsung Galaxy S7, Samsung Galaxy S7 edge, Samsung Galaxy S8 และ Samsung Galaxy S8+ ร่วมไปถึงรุ่นไฮเอนด์ที่จะเปิดตัวใหม่ในอนาคต ซึ่งหลังจากนี้ก็จะมีสมาร์ทโฟนจากค่ายอื่นรองรับมากขึ้น

           “บริการ AIS NEXT G ถูกพัฒนาออกมาเพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ชอบการดูวิดีโอคุณภาพสูง อีกทั้งยังตอบโจทย์คนที่ใช้ Samsung Galaxy ซึ่งมีจำนวนมากในไทย โดยในเบื้องต้นเราคาดว่าจะมีลูกค้าใช้บริการอยู่ที่หลักแสนราย”

           อย่างที่อธิบายไปเบื้องต้นว่าการใช้งาน AIS NEXT G จะต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีทั้งสัญญาณ AIS 4G และ AIS SUPER WiFi ในพื้นที่เดียวกัน โดยลูกค้ารายเดือนจะต้องใช้แพ็กเกจ 4G Max Speed Unlimited 1,099 บาท/เดือนขึ้นไป ส่วนลูกค้าเติมเงิน ก็สมัครแพ็กเกจเสริม AIS NEXT G ได้ในราคา 159 บาท ซึ่งจะได้รับอินเทอร์เน็ต 5GB และ AIS SUPER WiFi ไม่จำกัด นาน 7 วัน

           “จากนี้ไปการแข่งขันระหว่างผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือก็ยังคงดุเดือดเหมือนเดิม แต่เอไอเอสได้มุ่งเน้นด้านดิจิทัลเป็นกลัก โดยการรวมทั้ง 3 บริการ คือ โทรศัพท์มือถือ บรอดแบนด์ และคอนเทนต์เข้าด้วยกัน เพื่อให้ลูกค้าสนใจใช้บริการโดยดูจากความคุ้มค่าที่ได้รับ เราไม่ได้เข้าไปแข่งขันในด้านราคา” ปรัธนากล่าว

           นอกจากในด้านเครือข่ายแล้ว เอสไอเอสยังได้เดินหน้าสานต่อวิสัยทัศน์ Digital for Thais ด้วยการประกาศแนวคิดใหม่ ‘AIS THE NEXT GENERATION’ เพื่อทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่เจเนอเรชั่นใหม่อีก 3 ด้าน ได้แก่ 

           - NEXT GENERATION ECONOMY เพื่อผลักดันธุรกิจไทยสู่เทรนด์เศรษฐกิจแบ่งปัน โดยการจับมือกับ MOBIKE เซ็นทรัล และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อเปิดให้บริการจักรยานให้เช่า โดยนำเทคโนโลยี IoT มาช่วยจับคู่ความต้องการของผู้บริโภค 

           - NEXT GENERATION XPERIENCE การพลิกโฉม AIS Shop ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 4 ให้เป็นแกลเลอรี แสดงนวัตกรรมดิจิทัลในรูปแบบของงานศิลปะ รวบรวมเทคโนโลยีและสมาร์ทแก็ดเจ็ตที่ทันสมัยจากแบรนด์ชั้นนำ มาให้ลูกค้าได้สัมผัส ทดลองใช้ และเลือกซื้อก่อนใคร 

           - NEXT GENERATION TEAMS การผสานคนกับเทคโนโลยี เพื่อส่งมอบบริการที่ดีที่สุดให้ลูกค้า ด้วยความสามารถของบุคลากรมืออาชีพที่เต็มไปด้วย DNA ชาวดิจิทัล ที่มีความเข้าใจใน Customer Insight ของลูกค้าในยุคดิจิทัล 

           บุษยา สถิรพิพัฒน์กุล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานบริหารลูกค้าและการบริการ เอไอเอส กล่าวเสริมว่า “จากพฤติกรรมของลูกค้าในยุคปัจจุบันที่ต้องการเข้ามาสัมผัส ทดลองใช้ และเลือกซื้อสินค้าต่างๆ ด้วยตนเอง เอไอเอสจึงทุ่มงบกว่า 40 ล้านบาท เพื่อการพลิกโฉม AIS Shop บริเวณชั้น 4 เซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้ายุคดิจิทัล ภายใต้คอนเซปต์ ‘AISTHE DIGITAL GALLERY’ เพื่อพลิกโฉมช็อปแห่งนี้ให้เป็นเสมือนแกลเลอรีแสดงงานศิลป์ ซึ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ในรูปแบบของการแสดงผลงานศิลปะ โดยวางผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นแสดงบนแท่นโชว์ (AIS Intelligent Unit) ที่ออกแบบมาอย่างสร้างสรรค์ ทำให้สะดวกในการสัมผัส รวมทั้งจัดหมุนเวียนผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สลับผลัดเปลี่ยน มาให้ลูกค้าได้สัมผัสก่อนใคร”

           “ขณะเดียวกันเอไอเอสยังพร้อมส่งมอบมิติใหม่ของงานบริการให้แก่ลูกค้า โดยพัฒนาศักยภาพของพนักงานให้เป็น Digital Guru ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในผลิตภัณฑ์ดิจิทัลต่างๆ สามารถให้คำแนะนำ และช่วยเหลือลูกค้าได้อย่างมืออาชีพ รวมทั้งพัฒนาบริการรูปแบบใหม่ Ask Aunjaiเป็น Virtual Agent ผู้ช่วยอัจฉริยะ ที่พัฒนามาจากเทคโนโลยีอัจฉริยะ ทั้ง Artificial Intelligence (AI), Chatbotและ Smart Knowledge Base ทำให้สามารถตอบคำถาม ให้คำแนะนำลูกค้าบน Online ทั้งบนเว็บไซต์เอไอเอส และบนแอป my AIS ได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งมีความเป็น Humanity เหมือนได้คุยกับพนักงาน”

           ปัจจุบัน เอไอเอสมีฐานลูกค้าทั้งสิ้น 44 ล้านราย เป็นกลุ่มที่ใช้บริการ 4G จำนวน 16 ล้านราย และลูกค้าแบบรายเดือน 6.5 ล้านราย โดยลูกค้าเอไอเอสใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยที่ 5-6 GB ต่อเดือน สืบเนื่องมาจากเทรนด์การใช้งานของผู้บริโภคที่นิยมรับชมวิดีโอคอนเทนต์ที่มีความคมชัดสูงมากขึ้น 

FYI
           สำหรับการใช้งานเครือข่าย AIS NEXT G ผู้ใช้ต้องเปิดฟังก์ชัน NEXT G บนมือถือ, เปิดใช้งานทั้ง Mobile DATA และ WiFi (เลือกเชื่อมต่อ AIS SMART Login) ที่สำคัญคือ ต้องมีแพ็กเกจ NEXT G และแพ็กเกจ AIS SUPER WiFi และต้องอยู่ในพื้นที่มีสัญญาณ AIS SUPER WiFi และ Log in อยู่ จึงจะใช้งาน NEXT G ได้ โดยสังเกตได้จาก Icon NEXT G บนแถบ Status ด้านบนของหน้าจอสมาร์ทโฟน (ความเร็วของการใช้งานเครือข่าย NEXT G จะขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ใช้ในพื้นที่, ความใกล้ไกลของเครื่องกับเสาส่งสัญญาณ และสเปกของอุปกรณ์ที่ใช้)