‘เอกชัย สุขุมวิทยา’ Believe in yourself
17 Jan 2018

          “จริงๆ ผมเกิดปีเดียวกับเจมาร์ท ห่างกันแค่ 6 เดือน เหมือนโตมาด้วยกัน” เอกชัย สุขุมวิทยา ทายาทเจเนอเรชั่น 2 วัย 28 ปี บอกเล่าถึงความผูกพันระหว่างตนเองและธุรกิจครอบครัวอย่าง เจมาร์ท กรุ๊ป ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทในเครือกว่า 5 บริษัท ได้แก่ บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน), บริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน), บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน), บริษัท เจ ฟินเทค จำกัด และบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) 


          หลังจากใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาตั้งแต่ไฮสคูลเป็นเวลา 8 ปี จนจบปริญญาตรีสาขา Business Administration Finance & Entrepreneurship Concentration จาก Babson Collage และต่อปริญญาโทอีก 1 ปีในสาขา MSc Strategic Marketing ที่ Imperial College London ประเทศอังกฤษ เขาก็ได้มีโอกาสกลับเข้ามาเรียนรู้งานในธุรกิจครอบครัว โดยเริ่มจาก ‘เจมาร์ท’ หลังจากนั้นจึงย้ายไปดูในส่วนของธุรกิจอสังหาฯ อย่าง ‘เจเอเอส แอสเซ็ท’ โดยได้นำเจเอเอส เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2559  และล่าสุดกับการเรียนรู้ธุรกิจเกิดใหม่อย่าง ‘เจ เวนเจอร์’ (บริษัท เจเวนเจอร์ จำกัด) ซึ่งประกอบธุรกิจด้านการลงทุนในสตาร์ทอัพและพัฒนาซอฟต์แวร์ ในตำแหน่ง ‘รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร’


          เอกชัย เล่าว่า “จริงๆ ผมมีทางเลือก 2 อย่างคือ จะไปทำงานที่อื่นก่อนหรือจะมาที่นี่เลย พ่อแม่บอกว่ายังไงก็ได้ แต่ผมเห็นว่าเจมาร์ทกำลังโต เราเลยไม่อยากพลาดโอกาสที่จะโตไปกับมัน ตอนนั้นทำงานหลายส่วนวนไปเรื่อยๆ ทำบัดเจท โปรดักส์ ดูไฟแนนซ์ แอคเซสเซอรีเป็นนักลงทุนสัมพันธ์ แล้วก็ไปโรดโชว์ให้กับนักลงทุนต่างประเทศ ตอนที่ทำเจมาร์ทก็ชอบนะ เพราะเราคลุกคลีมาตั้งแต่เด็กๆ ไปตรวจสาขากับคุณพ่อ (อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา) รู้สึกชอบอะไรที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี ชอบรีเทล ชอบขายของ ชอบอะไรที่มันเกี่ยวกับแกดเจ็ตคิดว่าส่วนหนึ่งคงอยู่ในสายเลือดด้วย”


          แม้จะมีความกังวลอยู่บ้าง ในการก้าวเข้ามาสานต่อธุรกิจครอบครัว บวกกับใกล้เวลาที่ผู้เป็นพ่อตั้งเป้าวางมือในอีก 3 ปีข้างหน้า แต่การเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลากลับกลายเป็นจุดแข็งที่เรามองว่าจะสามารถพาเขาก้าวผ่านความกังวลเหล่านี้ไปได้


          “ตอนที่เข้ามาทำแรกๆ ผมอายุ 24 เอง ยังไม่รู้อนาคตตัวเองว่าจะเป็นยังไงก็เลยไม่กดดันมาก แค่เข้ามาดูว่าธุรกิจมีอะไรบ้าง แต่ช่วงนี้คุณพ่อก็เริ่มย้ำว่าอีก 3 ปีนะพ่อจะวางมือก็เริ่มกดดันแล้ว เพราะตอนนี้คุณพ่อทำหลายอย่างมาก ตอนแรกมีแค่ 3 ธุรกิจ คือ เจมาร์ท เจเอ็มที แล้วก็ เจเอเอส แอสเซ็ท หลังจากนั้นก็ไปซื้อซิงเกอร์มาอีก แล้วก็มีเจ ฟินเทค ตอนนี้คุณพ่อเลยดูภาพรวมทั้งหมด เพราะมี 5 บริษัทแล้วเขาดูดีเทลไม่ไหว เลยดูแค่บริษัทที่ยังใหม่ ที่ต้องประคับประคอง ก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้ว่า Vision พ่อจะมาอย่างนี้ด้วย พออยู่ไปเรื่อยๆ ก็มีอะไรใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ” 


          “พ่อผมไม่ค่อยหยุดคิด ก็ต้องตามเขาให้ทัน นั่นก็กดดัน เราต้องคลุกคลีกับธุรกิจนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเข้าใจ เพราะอีก 3-4 ปีพ่อบอกว่าจะเริ่มถอย แล้วให้ผมขึ้นมาดูแทน เขาก็คงอยากทำงานน้อยลง อยากไปเที่ยวบ้าง แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำจริงหรือเปล่าเพราะเขาก็ดูสนุกกับการทำงาน ผมคิดว่าเขาไม่วางมือ 100% หรอก แต่ให้ผมมีบทบาทเยอะขึ้น จริงๆ ก็กังวลนะ กังวลว่าเราจะทำได้ดีเท่าเขาหรือเปล่า แต่ยังไงก็ต้องทำให้ได้ คือ สไตล์มันแตกต่างกัน พ่อผมค่อนข้างจะลุย เป็นขาลุย ส่วนผมจะคล้ายๆ แม่คือนิ่งๆ คอยซัพพอร์ต” 


          “อีกอย่างคือ พ่อเขาเชื่อว่าในบริษัทแต่ละยุคต้องการการบริหารจัดการที่ไม่เหมือนกัน ช่วงแรกๆ มันต้องลุย ก็คือสไตล์เขา แต่ช่วงที่ประคับประคองมันก็อาจจะมาแนวทางผม หาธุรกิจใหม่ๆ ไม่ได้เริ่มจาก 0 แล้วไป 100 ตอนนี้เรามีมาร์เก็ตแชร์ระดับหนึ่ง เรามีชื่อเสียงในวงการระดับหนึ่ง คือเราไม่ต้องลุยเท่าแต่ก่อน การบริหารจัดการก็แตกต่างกัน”

 


          ทั้งนี้ การบริหารคน นับเป็นปัญหาอันดับต้นๆ ที่เจเนอเรชั่น 2 ต้องเจอ การเข้ามาปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรที่อยู่มานาน ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายและเป็นโจทย์สำคัญ ว่าจะทำอย่างไรให้ได้รับการยอมรับและยอมเชื่อในสิ่งใหม่ๆ ที่กำลังจะเปลี่ยนไป


          “ผมว่าคำถามนี้มีกับเจน 2 ทุกคนที่สานต่อธุรกิจที่บ้าน เจอเพื่อนก็เป็นคำถามเดียวกัน เคยไปเรียนคอร์สสำหรับเจเนอเรชั่น 2 ก็เป็นคำถามนี้เหมือนกัน การโน้มน้าวคนที่อยู่ในองค์กรที่อยู่มาก่อนมันยาก ต้องเจออุปสรรคหลายๆ อย่าง ผมว่าอันนี้แหละเป็นพอยท์หลักที่ทุกคนเจอซึ่งผมก็เจอ ขนาดทำงานกับที่บ้านยัง Convince คนอื่นยากเนื่องจากเป็นลูกคนเล็ก คือผมก็ช่วยพี่สาวทำร้านขนม บางครั้งไอเดียก็ไม่ตรงกัน สตาฟฝังนั้นเขาน้อยก็เลยเข้าไปช่วย บางทีเขาทำมาก่อน เขาก็ไม่เชื่อสิ่งที่เราเชื่อ” 


          “ส่วนฝั่งออฟฟิศก็มี จริงๆ อยากทำอะไรตั้งหลายอย่างแต่ยังทำไม่ได้ เพราะคนข้างในเขายังติดกับรูปแบบเดิม การที่ไปเปลี่ยนทัศนคติเขามันอาจจะยากและต้องใช้เวลาให้เขาเข้าใจว่าเทรนด์มันมาอย่างนี้นะ ถ้าเราไม่ทำเราก็เสียเปรียบ ผมว่าการที่จะทำอะไรใหม่ๆ มันยังมีอุปสรรค เพราะแต่ละคนในออฟฟิศก็อยู่กันมาเกือบ 10 ปีหรือไม่ก็มากกว่า แต่ละบริษัทก็มีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แต่ฝั่งเจเอเอส แอสเซ็ท ถ้าเรื่องเกี่ยวกับ Marketing เขาจะเชื่อผม เพราะผมเป็นคนที่ชอบออกไปหาไอเดียใหม่ๆ จะรู้ว่าเทรนด์ใหม่เป็นยังไงก็จะเอามาใช้ ซึ่งพอกลับมาใช้แล้วมันเวิร์คเขาก็เชื่อ แต่บางอย่างที่ยังไม่เห็นเป็นรูปเป็นร่าง อย่างทำร้านคอนเซปต์ใหม่ ทำช่องทางการขายใหม่ ที่ต้องใช้เงินลงทุนเยอะ และไม่มีอะไรที่เป็นหลักประกันได้ว่าจะสำเร็จตรงนั้นก็ยากหน่อย แต่ว่าอะไรที่ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ เริ่มเห็นผลงาน คนก็จะเริ่มเชื่อ”


          แม้การเข้ามาในฐานะเจเนอเรชั่นที่ 2 จะดูมีอุปสรรคและความกังวลมากมาย แถมต้องแบกรับความหวังในอนาคตเอาไว้ในมือ แต่เขาก็เชื่อว่าความพยายามและมุ่งมั่นของตนเอง จะกลายเป็นแรงผลักดันให้การทำงานสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี 


          “ก็พยายามทำงานให้ดีที่สุด ให้ผลงานมันออกมาดีที่สุด ตั้งแต่เด็กผมเชื่อว่าตัวเองไม่ได้ฉลาด แต่ตัวเองขยันถึงได้เกรดดี ถึงทำผลงานออกมาดี ตอนนี้ก็ยังคิดเหมือนเดิมอยู่ว่าถ้าขยันกับงาน ทุ่มกับมันเต็มที่ มันจะออกมาดีที่สุด แล้วก็การลองอะไรใหม่ๆ เพราะถ้าเราไม่ทำอะไรใหม่ๆ เราก็จะไม่รู้ว่ามันจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ จริงๆ มีไอเดียเข้ามาเยอะมาก แต่ว่าเข้ามา 10 ได้ทำ 1 ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำเลย” 


          “ส่วนตัวเวลาว่างก็ขี้เกียจนะ อยากดูหนัง อยากทำอย่างอื่นบ้าง แต่กลับมาคิดว่าถ้าเราลุกขึ้นมาทำ งานจะเดินหน้าเร็วขึ้นอีกเป็นวันๆ เพราะจริงๆ เวลาทำงานไม่ได้ทำตัวคนเดียว เราควบคุมตัวเองได้ แต่เราควบคุมคนอื่นไม่ได้ ต้องเผื่อเวลาให้เขา กว่าจะทำเสร็จแล้วส่งให้อีกคน อีกคนเอาไปทำต่ออาจจะใช้เวลาวันสองวันเราก็ไม่รู้ อะไรที่เราทำแล้วส่งต่อได้เร็วก็ทำไปก่อน แต่จริงๆ ส่วนตัวก็มีบ้างที่ค่อยทำแล้วกัน แต่ก็พยายามบอกตัวเองว่าต้องทำไม่อย่างนั้นงานไม่เดินมันก็ดีเลย์” 

 
          แม้จะดูเป็นคนหนุ่มที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องงานสูงจนแทบจะไม่มีเวลาพัก แต่การหาเวลาให้ตัวเองก็เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งเขาได้เล่าทิ้งท้ายถึงงานอดิเรกและกิจกรรมยามว่างในวันหยุดว่า “วันหยุดส่วนใหญ่จะไปออกกำลังกาย ไปหาเพื่อน ดูซีรีส์ จริงๆ ชอบเล่นกอล์ฟแต่ไม่ค่อยมีเวลา นานๆ จะเล่นที มีเตะบอลบ้าง เวทเทรนนิ่ง ปั่นจักรยานในสตูดิโอ ปีนผาด้วย เพราะเพิ่งไปกระบี่มาชอบสนุกดี บางครั้งเสร็จงานก็ไปสังสรรค์ ไปหารุ่นพี่ ไปปรึกษาบ้าง ผมว่าคอนเนคชั่นมันเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญ เพราะอยู่ในเมืองไทยมีคนรู้จักเยอะก็ได้เปรียบกว่า เราไม่ได้ไปเอาเปรียบใคร แต่ถ้าเรารู้จักกัน มันก็เป็น Benefit ที่เราได้มา” 

[อ่าน 3,200]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“เพราะชีวิตคือบททดสอบ” เปิดเรื่องราวชีวิตหญิงแกร่ง CHRO แห่งทรู คอร์ปอเรชั่น
‘ไพศาล อ่าวสถาพร’ กับเบื้องหลังการปั้น ‘บิสโตร เอเชีย’ ให้มียอดขายเติบโตขึ้นถึง 70%
ศุภลักษณ์ อัมพุช กับ New Era ของกลุ่มเดอะมอลล์ ที่เป็นมากกว่าแค่ช้อปปิ้ง แต่คือการสร้างย่านการค้า
Future Food เทรนด์อาหารแห่งอนาคตเพื่อโลกที่ยั่งยืน กับมุมมองของไทยยูเนี่ยน
เจน - ชลันดา ศรีวิทิตกุล Interior Designer ที่ผสานเทคโนโลยีเข้ากับงานออกแบบ
ถอดรหัส HERO BRAND กลยุทธ์สร้างความสำเร็จอย่างยั่งยืนของ ”ซัคเซสมอร์”
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved