ส่อง “ประเทศอินเดีย” ไรซิ่งสตาร์ของโลกกับโอกาสของธุรกิจไทยที่จับต้องได้
28 Aug 2018

          เมื่อนึกถึงประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ ใครๆ ก็รู้จัก ในแง่ของการทำการค้า การลงทุนในยุคปัจจุบัน หลายคนอาจจะนึกถึงสหรัฐฯ จีน หรือประเทศในกลุ่มยุโรปในแง่ของประเทศอุตสาหกรรมที่ทันสมัย เพราะเรามักจะคุ้นเคยกับสินค้าที่มาจากประเทศเหล่านี้ แต่รู้หรือไม่ว่าประเทศใหม่ๆ ที่กำลังจะก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจโลกก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน หนึ่งในประเทศ Rising Star ที่น่าจับตามองอย่างยิ่งจากการจัดอันดับของธนาคารโลก ซึ่งเป็นประเทศที่ก้าวกระโดดขึ้นมามีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของโลก แซงหน้าประเทศที่ครองอำนาจทางเศรษฐกิจมายาวนานอย่างฝรั่งเศสได้ในปี 2560และยังมีการคาดการณ์ว่าจะกลายเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับที่ 3 ของโลกในไม่ช้า หลายคนอาจไม่เชื่อว่าประเทศที่กำลังจะกล่าวถึงนั่นก็คือ “อินเดีย”

 


          อินเดีย เป็นประเทศที่มีขนาดประชากรใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกมากถึง ประมาณ 1,300 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนที่มากรองจากจีน และมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2022 ประชากรอินเดียจะเพิ่มขึ้นแซงหน้าจีน อีกทั้งในแง่ของเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มจะทะยานขึ้นแซงหน้าจีนเช่นกัน เนื่องจากจำนวนประชากรที่มาก ทำให้อินเดียเป็นประเทศที่มีความต้องการซื้อสูง อีกทั้งกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อในอินเดีย หรือคนมีฐานะปานกลางจนถึงรวย มีจำนวนถึง 200 – 300 ล้านคน แม้ว่าเมื่อเทียบสัดส่วนกับประชากรทั้งประเทศอินเดียแล้วอาจจะดูเป็นสัดส่วนที่น้อย แต่ก็ถือว่าเป็นจำนวนที่มหาศาล มากกว่าประชากรในประเทศไทยทั้งประเทศถึงกว่า 4 เท่า ถือเป็นประเทศที่มีตลาดขนาดใหญ่ น่าทำการค้า การลงทุนด้วยอย่างมาก ในขณะที่อินเดียกำลังทะยานขึ้นตัวขึ้นเรื่อยๆ ประเทศต่างๆ เริ่มเห็นโอกาสทางการค้ากับอินเดีย แล้วไทยล่ะ รู้จักอินเดียมากพอที่จะเริ่มต้นอนาคตด้านเศรษฐกิจที่สดใสไปกับอินเดียหรือยัง

 


          ดร. กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยด้านการวิจัยและคำปรึกษาระหว่างประเทศ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)ได้ให้มุมมองทางด้านเศรษฐกิจต่อประเทศอินเดียว่า อินเดียเป็นตลาดที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับไทย คนไทยส่วนมากยังมองว่าอินเดียเป็นประเทศที่มีกำลังซื้ออยู่ในระดับต่ำ แต่อันที่จริงแล้วอินเดียมีอัตราการเติบโตของ GDP ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสดงถึงจำนวนรายได้ต่อหัวของคนอินเดียที่เพิ่มขึ้น และกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งกลุ่มประชากรที่มีกำลังซื้อเหล่านี้มีจำนวนประมาณ 300 ล้านคน เป็นกลุ่มเป้าหมายที่น่าสนใจอย่างยิ่งของธุรกิจไทยในการเข้าไปลงทุน หรือส่งออก


          ดร. กิริฎา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในแง่ของธุรกิจในประเทศไทยที่ดึงดูดคนอินเดียอย่างมาก ย่อมหนีไม่พ้นธุรกิจท่องเที่ยว ที่เป็นจุดเด่นของไทย ซึ่งในปัจจุบันกลุ่มคนอินเดียที่มาท่องเที่ยวในไทย ส่วนใหญ่มักจะเดินทางมาเป็นกลุ่มเล็กๆ ที่นิยมมาท่องเที่ยวตามสถานที่ขึ้นชื่อด้านแสง สี เสียง ที่น่าสนใจอย่างพัทยา ภูเก็ต ซึ่งหากไทยมีการประชาสัมพันธ์ที่ดีโดยการหยิบเอาวัฒนธรรมร่วม อย่างศาสนา วัฒนธรรม อาหาร เสื้อผ้า ธุรกิจบันเทิง มาโปรโมต และสามารถขยายกลุ่มเป้าหมายของคนอินเดียที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยให้ใหญ่ขึ้น เช่น กลุ่มครอบครัวใหญ่ กลุ่มนักศึกษาที่เดินทางมาท่องเที่ยว รวมทั้งศึกษาแลกเปลี่ยน เรียนรู้วัฒนธรรมไทย จะสามารถดึงดูดเม็ดเงินให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยได้อย่างมหาศาล 


          นอกจากนี้ คนอินเดียยังมีความสนใจในธุรกิจด้านการจัดงานอีเวนต์ต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานสัมมนา โดยคนไทย ด้วยความสร้างสรรค์ แปลกใหม่ ที่ตอบโจทย์คนอินเดีย ธุรกิจเหล่านี้หากหันมาทำการบ้าน ศึกษาความชอบ ความต้องการของคนอินเดียโดยเฉพาะ เชื่อว่าจะสามารถต้อนรับเพื่อนบ้านอย่างชาวอินเดียที่พร้อมเข้ามาส่งเสริมธุรกิจภาคบริการของไทยเพิ่มขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน

 


          เฉลิมเกียรติ พลรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการด้านทรัพยากรบุคคลต่างประเทศ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ณ ประเทศอินเดียได้กล่าวเสริม ในฐานะของนักธุรกิจที่คุ้นเคยกับตลาดรวมถึงวัฒนธรรมของอินเดีย ถึงแง่มุมของธุรกิจไทยที่จะมีโอกาสเข้าไปเติบโตในตลาดอินเดียว่า อินเดียมีตลาดขนาดใหญ่มาก ด้วยประชากรจำนวนมาก ความต้องการบริโภคสินค้าต่างๆ จึงมากตามไปด้วย รวมถึงอินเดียประกอบไปด้วยรัฐหลายรัฐ ซึ่งมีความหลากหลายในแง่ของความต้องการในการบริโภคสินค้าคุณภาพต่างๆ ตามกำลังซื้อ ทั้งรัฐที่มีคนรวยอาศัยอยู่จำนวนมากซึ่งมีความต้องการในการบริโภคสินค้าคุณภาพสูง ไปจนถึงรัฐที่มีความต้องการในการบริโภคสินค้าคุณภาพปานกลาง เนื่องจากกำลังซื้อที่ต่ำลงมา ทำให้ธุรกิจทุกระดับ เรียกได้ว่าอินเดียเป็นประเทศที่ต้อนรับการลงทุนของธุรกิจในทุกระดับ แต่สำหรับธุรกิจที่สามารถตีตลาดอินเดียได้ในวงกว้าง คือ ธุรกิจประเภทเกษตรกรรม ปศุสัตว์ เนื่องจากเป็นสินค้าขั้นพื้นฐานที่คนอินเดีย ไม่ว่าจะมีกำลังซื้อในระดับใดก็ตาม ย่อมมีความต้องการบริโภคสินค้าเหล่านี้ ส่วนธุรกิจอื่นๆ จำเป็นต้องศึกษาลักษณะความต้องการของแต่ละรัฐ ความเหมาะสมของสิ่งอำนวยความสะดวกของแต่ละรัฐก่อนการเข้าไปลงทุน เป็นต้น


ทั้งนี้ เฉลิมเกียรติ ยังได้แนะนำเพิ่มถึง 3 สิ่งที่นักธุรกิจไทยต้องรู้ ก่อนเข้าไปลงทุนในอินเดีย ซึ่งได้แก่

 

 

          1) การทำความเข้าใจวัฒนธรรมพื้นฐาน โดยเฉพาะลักษณะนิสัยใจคอของคนอินเดียดังคำกล่าว “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง” การจะเข้าไปทำธุรกิจกับคนอินเดียก็เช่นกัน หากทำความเข้าใจธรรมชาติของคนอินเดียอย่างลึกซึ้ง จะทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปได้ง่ายมากขึ้น

 

          2) การศึกษาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในแต่ละรัฐของอินเดีย เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการเข้าไปลงทุน ธุรกิจแต่ละประเภทก็มีความต้องการสาธารณูปโภคมารองรับแตกต่างกันไปตามลักษณะของธุรกิจ เช่น ในรัฐอานธรประเทศตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศรัฐนี้มีความเหมาะสมในการทำธุรกิจประเภทเกษตรกรรม เนื่องจากมีพื้นที่กว้างขวาง ดินดี เหมาะแก่การเพาะปลูก รัฐทมิฬนาฑูรัฐมหาราษฏระมีการลงทุนด้านอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จำนวนมาก และเป็นรัฐอุตสาหกรรมอันดับต้นๆ ของอินเดีย เนื่องจากมีโครงสร้างสาธารณูปโภคที่ครบครัน ตอบโจทย์การลงทุนด้านการผลิตขนาดใหญ่

 

          3) การศึกษาเรื่องข้อกฎหมายและปัจจัยต่างๆ ก่อนการเข้าไปลงทุน เช่น ค่าจ้างแรงงาน เส้นทางการขนส่งสินค้า รวมทั้งเงื่อนไขการตอบสนองผลประโยชน์ต่อพื้นที่ที่เข้าไปลงทุน ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่นักลงทุนต้องศึกษา เพื่อผลประโยชน์สูงสุด

 


          ในแง่ของทัศนคติของคนอินเดียที่มีต่อสินค้าไทย ถือว่าอยู่ในระดับมุมมองที่เป็นบวก คนอินเดียมองว่าสินค้าที่ผลิตจากไทยเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ อีกทั้งคนอินเดียที่มีกำลังซื้อ ซึ่งถือเป็นตลาดขนาดใหญ่ประมาณ 200 – 300 ล้านคน ก็เป็นกลุ่มที่นิยมใช้สินค้ามีคุณภาพ หากผู้ประกอบการไทยมีความใส่ใจในเรื่องกระบวนการผลิตสินค้าที่ได้คุณภาพ บรรจุภัณฑ์ที่สวยงาม รวมทั้งการโปรโมตสินค้าที่น่าสนใจ เชื่อว่ามูลค่าของสินค้าที่เพิ่มขึ้นตามคุณภาพ ก็ย่อมสามารถตีตลาดคนอินเดียที่มีกำลังซื้อค่อนข้างสูงได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าสินค้าที่จะเข้าไปตีตลาดอินเดียได้จะต้องเป็นสินค้าที่อยู่ในเกรดพรีเมียม คุณภาพสูงเท่านั้น ในตลาดระดับรองลงมา สำหรับคนอินเดียที่มีกำลังซื้อไม่สูงนัก ก็ยังมองว่าสินค้าไทยที่พวกเขาสามารถซื้อได้ เป็นสินค้าตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนอินเดียเช่นกัน จึงเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการที่ต้องศึกษา ทำความเข้าใจตลาดทุกระดับของอินเดียเพื่อนำไปปรับใช้กับธุรกิจตัวเอง และประสบความสำเร็จในการตีตลาดอินเดียได้ในที่สุด เฉลิมเกียรติ กล่าวเสริม

 


          ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิธินันท์ วิศเวศวร คณบดีวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้แนะนำเพิ่มเติมถึงแง่มุมวัฒนธรรมอินเดียว่า ปัจจุบันภาคเศรษฐกิจของไทยเริ่มหันมาสนใจการค้า การลงทุนกับอินเดียมากขึ้น จากการเติบโตทางเศรษฐกิจอินเดียที่ก้าวกระโดดอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่ไทยจะต้องทำต่อไปหากต้องการพัฒนาความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจควบคู่ไปกับประเทศที่มีอนาคตทางเศรษฐกิจที่สดใสอย่างอินเดีย คือการพัฒนาความสัมพันธ์ทางด้านวัฒนธรรมควบคู่ไปด้วย นอกจากที่คุณเฉลิมเกียรติได้แนะนำถึงสิ่งที่ต้องเรียนรู้ก่อนเข้าไปบุกตลาดอินเดียทั้ง 3 ข้อแล้ว ในด้านของวัฒนธรรม สิ่งที่คนไทยควรทำเป็นสิ่งแรกคือ การปรับเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อคนอินเดีย เพื่อพร้อมต้อนรับการเดินหน้าในทุกๆ ด้านไปด้วยกัน หากคนไทยมองว่าคนอินเดียเป็นโอกาสขนาดใหญ่ที่จะเข้ามากระตุ้นภาคการท่องเที่ยวได้เช่นเดียวกับคนจีนพร้อมทั้งพัฒนาธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการในประเทศให้ตอบสนองความชอบและวัฒนธรรมของอินเดียได้ จะสามารถดึงดูดเม็ดเงินจากอินเดียได้อย่างมหาศาลไม่ต่างจากจีน

 


          นอกจากนี้ การเร่งพัฒนาบุคลากรไทยที่มีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับอินเดีย จะเป็นหนทางให้เราสามารถจับ Blue Ocean นี้ไว้ได้ เพราะในปัจจุบันบุคลากรไทยที่มีความเชี่ยวชาญทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ ภาษา และวัฒนธรรมของอินเดีย ถือว่ายังมีอยู่จำนวนไม่มาก การจะเดินหน้าความสัมพันธ์ทางด้านการค้าการลงทุน ที่เรามองว่าเป็นโอกาสร่วมกับอินเดีย จำเป็นต้องอาศัยบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในทุกแง่มุมของอินเดีย ไม่เพียงแต่ด้านเศรษฐกิจเท่านั้น หากไทยมีการพัฒนาบุคลากรที่เชี่ยวชาญทางด้านอินเดียศึกษาออกมาเพิ่มขึ้น เชื่อว่าจะสามารถพัฒนาความสัมพันธ์กับอินเดียให้พัฒนาไปอีกไกลในทุกแง่มุม

 


          ล่าสุด วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมให้เกิดแหล่งเรียนรู้ที่ครอบคลุมทุกแง่มุมของอินเดีย เพื่อตอบสนองโอกาสต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น จึงได้ร่วมมือกับสถานเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย เปิดตัวมุมส่งเสริมการเรียนรู้ India Corner เพื่อเปิดพื้นที่การเรียนรู้ในด้านอินเดียศึกษาให้กับประชาชนทั่วไปที่สนใจ รวมทั้งนักศึกษา ได้เข้าไปค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวกับอินเดีย โดยภายในมุมส่งเสริมการเรียนรู้ India Corner ประกอบด้วยหนังสือและข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณี การศึกษาของสาธารณรัฐอินเดีย รวมทั้งประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มรดกทางอารยธรรมการพัฒนาด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ภาษา วรรณกรรม ดนตรี ศิลปะและการท่องเที่ยว

 

 

          ผู้ที่สนใจสามารถใช้บริการได้ที่หอสมุดปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 08:00 น. –21:30 น. และ เสาร์ – อาทิตย์ เวลา 09:00 น. – 21.30 น. ปิดบริการในวันหยุดนักขัตฤกษ์ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิธินันท์ กล่าวทิ้งท้าย

 

 

 

[อ่าน 1,202]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ศุภาลัย ผนึก ทีโอเอ ปั้นนวัตกรรมที่อยู่อาศัยสีเขียว ผุดโปรเจกต์ยักษ์ ‘ฝ้ายิปซัม & สีรักษ์โลก’
KFC Thailand ครบรอบ 40 ปี เปิดตัว “แบมแบม กันต์พิมุกต์” 
Friend of KFC คนแรกของประเทศไทย
CMG ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ส่งแบรนด์ FitFlop ลุยตลาดเวียดนาม ปลื้มได้สิทธิ์ผู้แทนจำหน่ายเพียงรายเดียว
‘วิถี 8’ กุญแจสำคัญสร้าง ‘ผู้นำที่ใช่’ พิชิตความท้าทายในโลกธุรกิจยุคใหม่
ALLY ผนึก Mural ลงทุนซื้อหุ้นสมาคมมวยปล้ำสเปน
ไอคอนสยาม จับมือมหาวิทยาลัยศิลปากร จัดแสดงผลงานนักศึกษา Prismatic
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved