คมพิชญ์ พนาสุภน คลื่นระลอกที่สองของ ‘แม็ค’
31 Oct 2016

          หากให้ทุกคนลองนึกย้อนกลับไปในวันวานยุคกระโปรงบานขาสั้น ที่ชีวิตประจำวันต้องนั่งคร่ำเคร่งกับหนังสือเรียนและตำราสอบ คงไม่มีใครไม่รู้จักโรงเรียนกวดวิชาชื่อดัง ‘แม็ค’ (Modern Academic Center: MAC) ซึ่งก่อตั้งโดย อ.พีระ พนาสุภน ที่ได้รับการกล่าวขานว่าสามารถติวนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัยได้เป็นจำนวนมาก และมีนักเรียนสมัครเข้าเรียนมากถึง 20,000 คนต่อปี 


          แม็คเริ่มต่อยอดธุรกิจขยายไปสู่การจัดตั้ง ‘สำนักพิมพ์แม็ค’ เพื่อทำการผลิตวารสารและหนังสือเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย และสายอาชีพทั้งระดับ ปวช. และปวส. โดยเน้นความถูกต้องของเนื้อหา และไม่ได้หวงไว้เพียงแค่นักเรียนที่เข้ามาเรียนกวดวิชาเท่านั้น ทำให้แม็คกลายเป็นอาณาจักรการศึกษาได้รับการยอมรับจากทั้งครู ผู้ปกครอง และนักเรียนจากทั่วประเทศมายาวนานกว่า 40 ปี


          หากแต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน ไม่ได้มีเพียงแค่เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่การศึกษาของศตวรรษที่ 21 ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวกระโดดเช่นกัน จึงถึงเวลาที่แม็คต้องทำการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ ด้วยการเปลี่ยนชื่อเป็น ‘แม็คเอ็ดดูเคชั่น’ พร้อมการส่งไม้ต่อให้กับลูกไม้ใต้ต้นอย่าง ‘คมพิชญ์ พนาสุภน’ หรือ ‘พีท’ ที่พร้อมเข้ามาสานต่อภารกิจในการผลักดันให้แม็คเอ็ดดูเคชั่นกลายเป็นผู้ให้บริการด้านการศึกษาที่ครบวงจร


          ประวัติการศึกษาของชายหนุ่มคนนี้ต้องบอกว่าไม่ธรรมดา เริ่มต้นตั้งแต่ในวัยเด็กที่เขาได้ผ่านการศึกษาในระบบวอลดอร์ฟ (WalDorf) ซึ่งเป็นการเรียนในรูปแบบให้เด็กอยู่กับธรรมชาติและเน้นการทำงานด้านศิลปะ หลังจากจบชั้นประถมโรงเรียนสาธิตประสานมิตร คมพิชญ์ได้บินไปศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาที่ St.Michaels University School ประเทศแคนาดา


          เมื่อถึงระดับมหาวิทยาลัย ด้วยความรักทางด้านศิลปะ ครีเอทีฟ และดีไซน์ คมพิชญ์จึงเลือกเรียนระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัย Glasgow School of Art-School of Design ในสาขาโปรดักท์ ดีไซน์ ก่อนจะเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโทสาขา European Design ในหลักสูตรซึ่งเป็นโปรแกรมศึกษาร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยชื่อดังด้านการออกแบบในทวีปยุโรป ได้แก่ สก๊อตแลนด์, ฟินแลนด์, อิตาลี, ฝรั่งเศส, เยอรมนี และสวีเดน หากแต่พลังแห่งการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด ทำให้คมพิชญ์เลือกศึกษาต่อไปอีกขั้นในสาขา Industrial and Strategic Design และ International Design and Business Management จาก Alto University โดยหลังจากนั้นเขาได้เลือกทำงานหาประสบการณ์ในต่างประเทศอีกกว่า 2 ปีจึงกลับมาสู่แผ่นดินเกิด


          “ตอนแรกพูดตรงๆ เลยนะครับ ว่าผมหาทางให้ดีไซน์มาเกี่ยวข้องกับการทำหนังสือไม่ออกเลย (หัวเราะ) จะให้ผมมานั่งออกแบบหนังสือก็คงไม่ใช่ คือตัวผมเองชอบเรื่องดีไซน์และตอนแรกก็ตั้งใจที่จะทำงานอยู่ที่ต่างประเทศเลย เพราะคุณพ่อก็ปล่อยให้เราทำสิ่งที่อยากทำ เรียนในสิ่งที่อยากเรียน ไม่ได้บังคับว่าจะต้องกลับมาทำธุรกิจของครอบครัว จำได้ตอนที่ผมอายุ 10 ขวบ ผมก็บอกว่า ป๊า ผมไม่กลับมาแล้วนะ คุณพ่อก็บอกโอเค เชิญ (หัวเราะ) ตอนแรกที่กลับมาเมืองไทยผมก็ไปทำงานที่อื่นนะ แต่สุดท้ายก็กลับมาช่วยคุณพ่อดีกว่า ผมเห็นเขาพยายามปฏิรูปการศึกษามาเป็นสิบปี เห็นคุณพ่อเหนื่อย ผมก็อยากมาช่วย” คมพิชญ์เริ่มต้นเล่าให้เราฟัง


          “แต่พอทำไปประมาณ 3 ปีก็เริ่มมองออกว่าจะเอาสิ่งที่เราเรียนมาประยุกต์ใช้ได้อย่างไร คือผมเรียนดีไซน์มาก็จริง แต่เป็นเรื่องระบบการดีไซน์ เป็นการนำระบบดีไซน์มาช่วยแก้ปัญหาให้กับลูกค้า รวมไปถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ลูกค้า ซึ่งผมก็ต้องมาเรียนรู้ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัทที่มีอยู่เยอะมาก แต่สุดท้ายผมก็มาโฟกัสที่เรื่องการพัฒนาธุรกิจ แม้ว่าผมจะไม่ได้ดูแลเรื่องหนังสือเรียนโดยตรง แต่เราก็ต้องเรียนรู้ เพื่อที่จะเข้าไปช่วยพัฒนาตัวผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เพื่อช่วยปรับปรุงหนังสือเรียนของเราให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้คอนเทนต์ไม่น่าเบื่อ มีการผนวกความเป็นดิจิทัลเข้าไป”

 

 


          เราถามคมพิชญ์ต่อถึงความท้าทายในช่วงแรกที่เข้ามารับไม้ต่อจากคุณพ่อ รวมถึงความกดดันที่ต้องถูกจับตามองในฐานะรุ่นที่สองของแม็คเอ็ดดูเคชั่น


          “ในช่วงแรกก็คิดเยอะนะครับ สองปีแรกที่เข้ามาก็เหนื่อยมากครับ จำได้ว่าปีแรกที่เข้ามาคือช่วงปี 2552-2553 ไม่มีความสุขเลย (หัวเราะ) เพราะตอนนั้นความคิดเราเป็นแบบฝรั่งเลย ตอนที่ทำงานในต่างประเทศ ถ้าไม่เห็นด้วยก็จะพูดกันตรงๆ เถียงกันได้เรื่องงาน พอออกจากห้องประชุมก็จบ แต่ที่เมืองไทยทำแบบนี้ไม่ได้ เวลาพูดกับผู้ใหญ่ถ้าพูดตรงๆ คนฟังก็โกรธมาก ว่าเด็กนี่พูดกับผู้ใหญ่แบบนี้ได้อย่างไร ซึ่งตอนแรกก็งงนะ แต่หลังจากนั้นเราก็ค่อยๆ ทำความเข้าใจ ว่าเราทำแบบนั้นกับผู้ใหญ่ไม่ได้ ทำให้ผู้ใหญ่เสียหน้าไม่ได้ เราต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจในวัฒนธรรมที่ต่างกัน ซึ่งสุดท้ายผมก็หาวิธีแก้ปัญหาได้ คือต้องมีการอ้อมค้อมนิดหน่อย ซึ่งจริงๆ คุณพ่อให้คำแนะนำเรื่องการทำงานเยอะมาก ด้วยความที่ผมเป็นลูกคนเดียว บางครั้งก็มีต่อต้านบ้าง แต่สุดท้ายก็จะมาคิดได้เองว่าควรเชื่อคุณพ่อแต่แรก คือคุณพ่อจะเป็นสไตล์ที่ปล่อยให้ผมเรียนรู้ข้อผิดพลาดด้วยตัวเอง พอพลาดปุ๊บ เขาก็จะบอกว่า นี่ไง บอกแล้วใช่ไหม แต่เรื่องไหนที่เราทำแล้วมีแนวโน้มว่าจะสำเร็จเขาก็จะปล่อยให้เราทำ”


          เมื่อทุกอย่างเริ่มลงตัว คมพิชญ์จึงเริ่มต้นเติมจิ๊กซอว์ที่ขาดหายไปของแม็คเอ็ดดูเคชั่นด้วยการเปิดตัว Free Magazine น้องใหม่อย่าง ‘JUZZ Magazine’ นิตยสารแจกฟรีสำหรับนักเรียนมัธยมปลายเล่มแรกในประเทศไทยในปี 2557 พร้อมวางโพซิชันนิ่งให้ JUZZ เป็นนิตยสารที่ช่วยสร้างพื้นที่สื่อสารให้ผู้ใหญ่ วัยรุ่น และสังคม เข้าใจซึ่งกันและกันมากยิ่งขึ้น
ต่อมาในปี 2558 ผู้บริหารหนุ่มวัย 31 ปีผู้นี้ได้ทุ่มเทพลังของนักสร้างสรรค์ทางการศึกษาให้กับ ‘มีก้า’ หรือ MIECA (MAC International Education Consultant Agency) ศูนย์แนะแนวการศึกษาต่อต่างประเทศที่เน้นจุดขายที่แตกต่างจากศูนย์แนะแนวการศึกษาต่อต่างประเทศอื่นๆ ด้วยคอนเซปต์ ‘เรียนต่อนอก ออกแบบอนาคตไปกับมีก้า’ (Let's Design Your Future) เพื่อตอบเทรนด์ของพ่อแม่ยุคใหม่ที่เริ่มส่งลูกไปเรียนต่างประเทศในช่วงวัยที่เด็กลง ซึ่งมีก้าเองก็พร้อมตอบโจทย์ความต้องการด้วยการมีสถาบันการศึกษาในระดับมัธยมไว้ให้คำแนะนำอยู่ทั่วโลก


          “ผมมองว่าการศึกษาของเมืองไทย นักเรียนหลายคนยังขาดทักษะการใช้ชีวิต ขาดการเรียนรู้นอกห้องเรียน บ้านเราจะเน้นการศึกษาแบบท่องจำมากกว่า ซึ่งนี่คือจุดขายว่าทำไมคุณถึงจะต้องพาลูกไปเรียนต่างประเทศ ซึ่งการไปต่างประเทศจะทำให้เด็กๆ ได้อะไรมากกว่าแค่เรื่องภาษา หรือวิชาในห้องเรียนเท่านั้น แต่เด็กๆ จะได้เรียนรู้ในการใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ทำทุกอย่างด้วยตัวเองไม่เหมือนการอยู่ที่บ้านซึ่งมีพ่อแม่ทำให้ เพื่อให้เด็กเติบโตขึ้น บริหารจัดการตัวเอง และเพิ่มพูนทักษะการใช้ชีวิต ซึ่งนี่ก็เป็น Passion ส่วนตัวของผมด้วย เนื่องจากผมก็ไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่ตอนอายุ 13 ผมได้เจอประสบการณ์ใหม่ๆ เยอะมาก ต้องเซ็นสัญญาเช่าอพาร์ทเมนต์ครั้งแรก จำได้ตอนนั้นร้องไห้เลย (หัวเราะ) ซึ่งผมคิดว่าถ้าเราไม่ได้ไปเรียนที่ต่างประเทศเราคงไม่ได้ทำอะไรแบบนี้ และผมต้องการนำประสบการณ์เหล่านี้มาแชร์ให้กับน้องๆ”


          “ผมเพิ่งทราบว่า จริงๆ คุณพ่ออยากทำเกี่ยวกับการศึกษาต่อต่างประเทศมานานมากแล้ว พอผมบอกว่าจะทำ คุณพ่อก็บอกว่าเอาเลยๆ เพราะจริงๆ ตอนที่ผมจะไปเรียนที่ต่างประเทศ คุณพ่อก็ศึกษาข้อมูลเยอะมาก และให้คำแนะนำกับเพื่อนๆ ไปเยอะมาก ทำให้เขามีอารมณ์ร่วมตรงนี้พอสมควร ซึ่งพอเราได้เปิดมีก้าขึ้นมาเขาก็มีความสุขมาก และการที่ผมได้เห็นเด็กๆ ได้เดินตามเส้นทางที่ตัวเองอยากเรียน ได้ให้คำแนะนำพวกเขา ตัวผมก็มีความสุขตามไปด้วย” คมพิชญ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม


          ในขณะเดียวกันธุรกิจกวดวิชาซึ่งเป็นธุรกิจแรกของครอบครัวก็กำลังจะกลับมาช่วงชิงตลาดอีกครั้งในรูปแบบใหม่ ที่ทันสมัยและเข้าใจเด็กยุคใหม่มากขึ้นภายใต้ ‘สื่อพันธุ์ใหม่ iSmart’ ที่เด็กสามารถเลือกเรียนวิชาที่ต้องการได้ผ่านทาง iPad ควบคู่ไปกับเอกสาร โดยมีครูคอยให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด ซึ่งคมพิชญ์อธิบายว่าคงต้องใช้เวลาในการพัฒนาอีกพอสมควร ก่อนที่จะกลับมาสร้างแบรนด์ดิ้งให้โรงเรียนกวดวิชาแม็คกลับมาแข็งแกร่งในตลาดอีกครั้ง


          แม้จะว่าทุ่มเทเวลาเกือบทั้งหมดให้กับธุรกิจครอบครัว แต่คมพิชญ์ก็ยังคงหาเวลาว่างสานต่อสิ่งที่ตนเองหลงใหลเป็นพิเศษ นั่นคือการปลูกไร่กาแฟเป็นของตัวเองภายใต้แบรนด์ ‘ดอยเมฆ’ ตั้งอยู่บนยอดภูเขาสูงใน จ.เชียงใหม่ ที่เขาเล่าอย่างติดตลกว่าขอสลับตัวคนดูแลธุรกิจนี้เป็นคุณพ่อชั่วคราว


          สุดท้ายนี้ คมพิชญ์ให้ความเห็นถึงระบบการศึกษาไทยที่ทุกวันนี้ยังให้ความสำคัญกับเรื่องของผลการเรียนเป็นอันดับแรกว่า “ผมเชื่อว่าเกรดจะสำคัญที่สุดเฉพาะตอนที่คุณเรียนอยู่ แต่พอคุณก้าวออกจากรั้วการศึกษาสู่โลกแห่งการทำงาน โลกที่คุณต้องเผชิญกับคนอีกมากมาย คุณจะรู้เลยว่าเกรดมันไม่มีความหมายเลย สิ่งที่สำคัญกว่าคือทักษะการใช้ชีวิต กระบวนการคิด การให้คุณค่ากับคนที่อยู่รอบข้างคุณ และการให้คุณค่ากับตัวคุณเอง เหล่านี้คือสิ่งที่สำคัญมากกว่าครับ”

 

[อ่าน 1,875]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดใจ ‘เลิศรินิญฒ์ ศรีสุคนธ์’ กับเบื้องหลังการปั้น ‘Cafe Chilli’ ให้เป็นแบรนด์เรือธง ของ สะไปซ์ ออฟ เอเซีย
ทีเด็ด POP MART เจาะตลาดไทยอย่างไร ให้มัดใจผู้บริโภคอยู่หมัด
‘เดอะคลีนิกค์’ เผยผลงานโดดเด่นปี 66 โกยรายได้กว่า 2.3 พันล้าน เดินหน้าบุกตลาดความงาม
“เพราะชีวิตคือบททดสอบ” เปิดเรื่องราวชีวิตหญิงแกร่ง CHRO แห่งทรู คอร์ปอเรชั่น
‘ไพศาล อ่าวสถาพร’ กับเบื้องหลังการปั้น ‘บิสโตร เอเชีย’ ให้มียอดขายเติบโตขึ้นถึง 70%
ศุภลักษณ์ อัมพุช กับ New Era ของกลุ่มเดอะมอลล์ ที่เป็นมากกว่าแค่ช้อปปิ้ง แต่คือการสร้างย่านการค้า
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved