ผ่านไปแล้วกับไตรมาสแรกของปี 2559 สำหรับผลประกอบการบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซีจี ซึ่งนับว่าเริ่มต้นดีตั้งแต่ต้นปี ด้วยรายได้จากการขาย 109,998 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสที่ผ่านมา พร้อมกำไรกว่า 13,619 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เผยว่า “สำหรับรายได้ที่เติบโตขึ้นมานั้น เนื่องจากการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจเคมีภัณฑ์ ซึ่งมีรายได้จากการขายในไตรมาส 1 อยู่ที่ 47,810 ล้านบาท กำไร 9,111 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 85% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ด้วยผลประกอบการธุรกิจร่วมที่ปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง และธุรกิจแพคเกจจิ้ง ที่มีรายได้จากการขาย 18,847 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีกำไรกว่า 1,255 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 43% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากการบริหารจัดการต้นทุนและผลประกอบการที่ดีขึ้นของกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์”
ในทางกลับกัน ธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง กลับมีผลประกอบการที่ลดลง ในไตรมาสที่ 1 เนื่องจากค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้น และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในทุกตลาด มีรายได้จากการขาย 45,880 ล้านบาท ลดลง 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไร 3,290 ล้านบาท ลดลง 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับแนวโน้มการใช้ปูนซีเมนต์ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ เชาวลิต เอกบุตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การเงินและการลงทุน เอสซีจี ให้ความเห็นว่า “ตลาดซีเมนต์เราแบ่งเป็น 3 เซกเมนต์ หนึ่งก็คือที่อยู่อาศัย 50% การใช้ซีเมนต์ในภาครัฐ 30% และอาคารพาณิชย์ 20% เซกเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดคือที่อยู่อาศัย ไตรมาสแรก ติดลบ 2% สะท้อนเรื่องของกำลังซื้อ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค อีกเซกเมนต์คือ อาคารพาณิชย์ ไตรมาสแรก โต 0% หรือเท่ากับปีที่ผ่านมา ส่วนซีเมนต์ในภาครัฐ เป็นเซกเมนต์เดียวที่มีการเติบโตสูงมาก เนื่องจาก ปัจจุบัน รัฐบาลพยายามเร่งรัดการพัฒนาต่างๆ การใช้จ่ายงบประมาณในภูมิภาค กระจายงบประมาณไปในท้องถิ่น ทำให้มีการใช้ซีเมนต์เพิ่มขึ้น ทั้งไตรมาสเติบโตอยู่ที่ 20% ซึ่งถือเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูง”
ในส่วนของการคาดการณ์การใช้ซีเมนต์ทั้งปี 2559 เชาวลิต กล่าวเพิ่มเติมว่า “เราเชื่อว่า การเติบโตของซีเมนต์ปีนี้จะอยู่ที่ 3-5% ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการดำเนินโครงการใหญ่ๆ ของทางภาครัฐด้วย ถ้าออกมาตามที่คาดหมายก็มีโอกาสกระตุ้นการใช้ซีเมนต์และกระตุ้นความเชื่อมั่นของภาคเอกชนให้เพิ่มขึ้น แต่ถ้าไม่สามารถออกมาได้เต็มที่อย่างที่คาด ก็อาจจะมีการเติบโตต่ำกว่าที่ประมาณการณ์ไว้”
ทั้งนี้ ธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียนไตรมาสที่ 1 มีรายได้จากธุรกิจที่มีฐานการผลิตและส่งออกในอาเซียน 24,396 ล้านบาท หรือ 23% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้น 1% จากปีก่อน แบ่งเป็น รายได้จากธุรกิจที่มีฐานการผลิตในอาเซียน 12,586 ล้านบาท หรือ 12% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้น 21% จากปีที่ผ่านมา และ รายได้จากการส่งออกในอาเซียน 11,810 ล้านบาท หรือ 11% ของรายได้รวม ลดลง 14% จากปีก่อน โดยเอสซีจีมีทรัพย์สินรวมในอาเซียน นอกเหนือจากประเทศไทยมูลค่ากว่า 110,491 ล้านบาท หรือประมาณ 21% ของทรัพย์สินรวมของบริษัท ซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 520,603 ล้านบาท ( ณ วันที่ 3 มีนาคม 2559)
“ด้านการลงทุนในอาเซียนมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีความคืบหน้าตามแผน โรงงานปูนซีเมนต์ในอินโดนีเซียและกัมพูชา เริ่มผลิตสินค้าแล้ว ส่วนในประเทศเมียนมา และ สปป.ลาว คาดว่าจะเริ่มเดินสายการผลิตได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2559 และกลางปี 2560 ตามลำดับ ซึ่งโครงการลงทุนเหล่านี้ ถือเป็นส่วนสำคัญในการขยายตัวของเอสซีจีในอาเซียน ทั้งนี้ เอสซีจียังคงขยายการลงทุน โดยให้ความสำคัญในการหาพันธมิตรที่ดำเนินธุรกิจเดิมอยู่แล้ว เพื่อพัฒนาธุรกิจให้เจริญเติบโตร่วมกันต่อไป” รุ่งโรจน์ กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับอัตราการเติบโตของตลาดซีเมนต์ในประเทศเพื่อนบ้าน ไตรมาสที่ 1 กัมพูชา มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องกว่า 15% เวียดนามโตขึ้น 9% เมียนมาโต 10-11% และอินโดนีเซียโต 3% ซึ่งถือว่าดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ติดลบอยู่ 3%
FYI ในส่วนของสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) ในไตรมาสแรก เอสซีจีมียอดขายกว่า 42,262 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน คิดเป็น 39% ของยอดขายรวม โดยใช้งบประมาณงานวิจัยและพัฒนากว่า 900 ล้านบาท คิดเป็น 0.8% ของยอดขายรวม ซึ่งปีนี้เอสซีจีได้ตั้งงบประมาณสำหรับการวิจัยไว้ที่ 1% ของยอดขายรวม |