เอสซีจี เผยไตรมาส 3 ปี 2564 ชูกลยุทธ์ ESG คว้าโอกาสหลังเปิดประเทศ ด้วยผลิตภัณฑ์รักษ์โลก สร้างการเติบโตระยะยาว
29 Oct 2021

เอสซีจี เผยผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2564 ธุรกิจยังมั่นคง แม้กำไรลดลงจากการปิดเมืองทั้งภูมิภาค ต้นทุนพลังงาน วัตถุดิบที่สูงขึ้นตามตลาดโลก ประกาศเดินหน้าสร้างการเติบโตระยะยาวด้วยกลยุทธ์ ESG (Environmental Social and Governance) มุ่งบริหารความเสี่ยงต้นทุนวัตถุดิบและเชื้อเพลิงเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนทั้งพลังงานชีวมวลและแสงอาทิตย์

รวมถึงเตรียมความพร้อมรับมือภาวะเงินเฟ้อที่อาจรุนแรงขึ้น คาด หลังเปิดประเทศ ตลาดจะคึกคัก เศรษฐกิจโลกฟื้น เตรียมคว้าโอกาสด้วยผลิตภัณฑ์รักษ์โลก และสุขอนามัยที่ดี อาทิ SCG Green Choice และ CPAC Green Solution พร้อมรุกธุรกิจผลิตวัตถุดิบสำหรับผลิตพลาสติกชีวภาพ เดินหน้าช่วยสังคมต่อเนื่อง ทั้งกระจายวัคซีนสู่ภาคใต้ด้วยขนส่งควบคุมความเย็น ช่วยน้ำท่วมและสร้างอาชีพ

 

 

รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า “งบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจีใน Q3/64  มีรายได้จากการขาย 131,825 ล้านบาท ลดลง 1% จากไตรมาสก่อน และมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ 9,066 ล้านบาท ลดลง 47% จากไตรมาสก่อน จากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง ทั้งนี้ หากรวมขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานซีเมนต์ในประเทศเมียนมา และกำไรจากการปรับมูลค่าเงินลงทุนเป็นมูลค่ายุติธรรม จะทำให้มีกำไรสำหรับงวด 6,817 ล้านบาท ลดลง 60% จากไตรมาสก่อน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากการขาย เพิ่มขึ้น 31% จากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้น ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานปกติ ลดลง 11% จากธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 ระลอกใหม่ และการปิดเมืองทั้งภูมิภาค ทั้งนี้ หากรวมขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ และกำไรจากการปรับมูลค่าเงินลงทุนดังกล่าว จะมีกำไรสำหรับงวด ลดลง 30%

 

สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2564

  • รายได้จากการขาย 387,446 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสำหรับงวด 38,867 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น
  • ยอดขายสินค้าและบริการ HVA (High Value Added Product & Services - HVA) ในช่วง 9 เดือนของปี 2564 อยู่ที่ 133,504 ล้านบาท คิดเป็น  34% ของยอดขายรวม ทั้งนี้ ยังมีสัดส่วนของการพัฒนาสินค้าใหม่ (New Products Development – NPD) และ Service Solution คิดเป็น  15% และ 5% ของรายได้จากการขายรวม
  • รายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย ทั้งสิ้น 174,487 ล้านบาท คิดเป็น 45% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น  35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
  • สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 ก.ย. 2564 มีมูลค่า 850,339 ล้านบาท โดย 44% เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน

 

ผลการดำเนินงานใน Q3/64  และ 9 เดือนของปี 2564 แยกตามรายธุรกิจ ดังนี้

1) ธุรกิจเคมิคอลส์

  • Q3/64  มีรายได้จากการขาย 60,060 ล้านบาท ลดลง 1% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 59% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาขายสินค้าและปริมาณขายที่สูงขึ้น มีกำไรสำหรับงวด 5,210 ล้านบาท ลดลง 50% จากไตรมาสก่อน และลดลง 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากส่วนต่างราคาสินค้าที่ลดลง 
  • ผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2564 ธุรกิจเคมิคอลส์มีรายได้จากการขาย 172,407 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสำหรับงวด 24,431 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  107% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากส่วนต่างราคาสินค้าและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่เพิ่มขึ้น

2) ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง

  • Q3/64 มีรายได้จากการขาย 44,059 ล้านบาท ลดลง 5% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดการส่งออกสินค้าไปยังตลาดอื่นๆ นอกอาเซียนและความต้องการสินค้าผลิตภัณฑ์ก่อสร้างภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ 1,199 ล้านบาท ลดลง 47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากการแพร่ระบาดของโควิด 19 ระลอกใหม่ และการปิดเมืองทั้งภูมิภาค ทั้งนี้ หากรวมขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์โรงงานซีเมนต์ในประเทศเมียนมา จะมีขาดทุนสำหรับงวด 2,400 ล้านบาท
  • ผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2564  ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมีรายได้จากการขาย 136,660 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรจากการดำเนินงานปกติ 6,476 ล้านบาท ลดลง 16%      จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  ทั้งนี้ หากรวมขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ดังกล่าว จะมีกำไรสำหรับงวด 2,877 ล้านบาท ลดลง 57% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

3) เอสซีจีพี

  • Q3/64 มีรายได้จากการขาย 31,930 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 37% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขยายธุรกิจแบบร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ (Merger and Partnership หรือ M&P) และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคระบาดในอินโดนีเซียส่งผลให้ความต้องการสินค้าขยายตัว โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และอิเล็คทรอนิกส์ มีกำไรสำหรับงวด 1,781 ล้านบาท ลดลง 21% จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักมาจากต้นทุนที่สูงขึ้น ในขณะที่เพิ่มขึ้น 33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
  • ผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2564  มีรายได้จากการขาย 89,078 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 6,179 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนจากความต้องการซื้อในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารเครื่องดื่ม และสินค้าเพื่อสุขอนามัย ที่ยังสามารถเติบโตได้ ประกอบกับการขยายธุรกิจทั้งแบบ Organic Expansion และ M&P ทั้งนี้ การที่บริษัทมีฐานการผลิตในหลายประเทศ และผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองลูกค้าในหลายอุตสาหกรรม ทำให้สามารถกระจายความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากความไม่แน่นอนของปัจจัยภายนอกได้ดี
  •  

รุ่งโรจน์กล่าวว่า “สถานะทางการเงินของเอสซีจียังแข็งแกร่ง แม้ว่ากำไรลดลง จากการปิดประเทศทั้งภูมิภาค ต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบสูงขึ้น เอสซีจี ได้เร่งดำเนินกลยุทธ์ตามแนวทาง ESG (Environmental, Social, Governance) เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับต้นทุนพลังงาน และวัตถุดิบที่อาจเพิ่มสูงขึ้นอีก รวมถึงภาวะเงินเฟ้อที่คาดว่าจะรุนแรงขึ้นในอนาคต โดยเร่งบริหารจัดการความเสี่ยงด้วยการทำสัญญาซื้อขายพลังงานล่วงหน้า การเลือกใช้วัตถุดิบที่เหมาะสมกับ สถานการณ์ตลาดและเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน (Alternative Energy)

 

ทั้งนี้ ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2564 มีสัดส่วนการใช้พลังงานดังนี้

  • 12%     พลังงานชีวมวล (Biomass) จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและเชื้อเพลิงจากขยะ RDF (โดยเฉพาะใน  ธุรกิจซีเมนต์ มีการใช้พลังงานชีวมวลและ              เชื้อเพลิง RDF ถึง 25%)
  • 3%      พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy)  หรือ 77,744 เมกะวัตต์-ชั่วโมง

 

อย่างไรก็ดี เชื่อว่าภายหลังการเปิดประเทศ กำลังการซื้อจะเริ่มกลับมา เพราะภาคธุรกิจและประชาชนจะสามารถ ปรับตัวในการอยู่กับร่วมโควิด 19 ได้เช่นเดียวกับหลายประเทศ นับเป็นสัญญาณที่ดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลก ซึ่งเอสซีจี ได้เตรียมคว้าโอกาสสร้างการเติบโตระยะยาวด้วยผลิตภัณฑ์รักษ์โลกและสุขอนามัย อาทิ ผลิตภัณฑ์ SCG Green Choice ที่ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ช่วยประหยัดพลังงานและส่งเสริมสุขอนามัยที่ดี CPAC Green Solution ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มความรวดเร็ว ลดปัญหาฝุ่น ของเสียในงานก่อสร้าง นอกจากนี้ ยังคงเดินหน้าสู่ธุรกิจด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ ธุรกิจผลิตวัตถุดิบสำหรับผลิตพลาสติกชีวภาพ เป็นต้น

 

ธุรกิจเคมิคอลส์

ธุรกิจเคมิคอลส์ มุ่งสู่การเป็น “ธุรกิจปิโตรเคมีเพื่อความยั่งยืน” โดยดำเนินโครงการอนุรักษ์พลังงาน และเร่งขยายธุรกิจด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ตลาดมีการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้ลงนาม MOU กับ Braskem เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการร่วมทุนสร้างโรงงานผลิตไบโอ-เอทิลีนในประเทศไทย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการพลาสติกชีวภาพ ส่วนความคืบหน้าการลงนามในสัญญาซื้อหุ้นบริษัทซีพลาสต์ (Sirplaste) ผู้นำด้านพลาสติกรีไซเคิลในประเทศโปรตุเกส คาดว่าจะสามารถโอนหุ้นได้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้

ขณะเดียวกันโรงงานสาธิตกระบวนการรีไซเคิลทางเคมี (Advanced Recycling) ได้รับการรับรองมาตรฐาน “ISCC PLUS” โดย International Sustainability and Carbon Certification (ISCC) และนิคมอุตสาหกรรมอาร์ไอแอล ในเอสซีจี เคมิคอลส์ ได้รับการรับรองเป็นนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศระดับ Eco-World Class ซึ่งเป็นรางวัลระดับสูงสุด จากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) 3 ปีต่อเนื่องเป็นแห่งแรกในประเทศไทย

สำหรับโครงการปิโตรเคมีครบวงจร Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ที่เวียดนามคืบหน้าตามแผน 87% โดยจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในครึ่งปีแรกของปี 2566

นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ มีมติอนุมัติการจัดตั้งวงเงินหุ้นกู้รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการออกหุ้นกู้ของเอสซีจี เคมิคอลส์ ครั้งแรก โดยได้ยื่นขออนุญาตออกและเสนอขายหุ้นกู้แบบโครงการ Medium Term Note (MTN) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 เรียบร้อยแล้ว

 

 

 

 

 

 

ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง

ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มุ่งจัดหาพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น โดยรับซื้อเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตและเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ จาก Solar Farm และ Solar Floating รวมถึงการนำลมร้อนเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์กลับมาใช้ใหม่

 

ขณะเดียวกัน ได้พัฒนาสินค้า บริการ และโซลูชัน ตอบโจทย์การก่อสร้างและการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน อาทิ CPAC Green Solution ที่มีนวัตกรรมหลัก ได้แก่ CPAC BIM ที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้บริหารงานก่อสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดการสูญเสียเวลาและทรัพยากร ผลิตภัณฑ์กลุ่ม SCG Green Choice  เช่น ปูนงานโครงสร้าง เอสซีจี สูตรไฮบริด ที่ลดการใช้ทรัพยากรในการผลิตและลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ระบบหลังคา SCG Solar Roof ที่ช่วยประหยัด       ค่าไฟฟ้าให้กับเจ้าของบ้าน ด้วยการใช้พลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและ SCG Bi-Ionization Air Purifier ระบบไอออน กำจัด เชื้อโรค ที่ช่วยลดเชื้อแบคทีเรียและไวรัสในอากาศ  นอกจากนี้ ธุรกิจได้พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อติดต่อและบริหารการค้าขายกับคู่ค้าและลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

 

 

เอสซีจีพี

เอสซีจีพี มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและ Mega Trends ของเศรษฐกิจไทยและอาเซียน การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงาน อาทิ เทคโนโลยีเครื่องจักร (Mechanization) ระบบอัตโนมัติ (Automation) ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI: Artificial Intelligence) เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ คาดการณ์ และเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตรวมถึงคุณภาพของสินค้า ให้กับภาคอุตสาหกรรมควบคู่กับการพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือกในกระบวนการผลิต ขณะเดียวกันยังคงมุ่งขยายธุรกิจ ด้วยการเพิ่มกำลังการผลิต (Organic Expansion) และร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจให้ครอบคลุมธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน รองรับความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง

 

 

ความรับผิดชอบต่อสังคม

  • การช่วยเหลือสังคมด้านวิกฤติโควิด 19 เอสซีจีได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข  สยามยามาโตะ และคูโบต้า เร่งกระจายวัคซีนไฟเซอร์เชิงรุก 3.1แสนฃโดส ใน 4 จังหวัดภาคใต้ที่มีการแพร่ระบาดสูง ได้แก่  สงขลา นราธิวาส ปัตตานี  และยะลา ด้วยระบบควบคุมความเย็นของรถขนส่งบริษัทเอสซีจี โลจิสติกส์ เมเนจเม้นท์ จำกัด 
  • การบรรเทาความเดือนร้อนจากน้ำท่วม เอสซีจีเปิดเหมืองดินในจังหวัดสระบุรี เพื่อรองรับน้ำท่วมและยังสามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง และมูลนิธิเอสซีจีได้มอบสุขากระดาษ SCGP จำนวน 7,000 ชุด และถุงยังชีพให้กับผู้ประสบภัยทั่วประเทศ 
  • การช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) และชุมชนกว่า 400 ราย ภายใต้โครงการ “พลังชุมชน”
    ให้พัฒนาอาชีพ แปรรูปเพิ่มมูลค่าสินค้า เพิ่มช่องทางการขาย และสร้างรายได้เพิ่มในวิกฤตโควิด 19 ที่ผ่านมา
[อ่าน 2,073]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สยามพิวรรธน์ เปิดตัวบัตร ONESIAM Global Visitor Card ตอบโจทย์นักเดินทางยุคใหม่
MK GROUP เผยแผนปี 2568 ชูกลยุทธ์ Value Strategy มุ่งเน้นตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าพร้อมส่งมอบประสบการณ์ใหม่
สำเร็จ! ทรู-ปภ. ทดสอบระบบเตือนภัย Cell Broadcast ครบ 3 ระดับผ่านตามแผน
BEAUTY GEMS X BENTLEY BANGKOK รังสรรค์อัญมณีและเครื่องประดับ สู่อัครยนตรกรรมไอคอนิกโลก
POOL&SPA ครองผู้นำตลาดสระว่ายน้ำ รับเทรนด์ชีวิตที่บ้าน-สุขภาพ ดันดีมานด์โตไม่หยุด
“อายิโนะโมะโต๊ะ” ผนึกกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หนุนคนไทยสุขภาพดีทุกวัย
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved