The Global Medical Cannabis & Herbs Forum ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกระหว่างวันที่ 11 - 13 พ.ย. 2564 โดยบริษัท เวิลด์ เมดิคอล อัลไลแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ซีไอเอสดับเบิ้ลยู อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (CISW) พร้อมด้วย 4 องค์กรหลักของประเทศไทยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่าง นายแพทย์, นักวิจัยทั่วโลก และผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมการปลูกกัญชาทางการแพทย์ และการสร้างเทคนิคใหม่ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าจากผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูก/การสกัด, ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย เพื่อให้ความรู้ด้านกัญชาทางการแพทย์ กับความรู้ด้านกฎหมาย ข้อบังคับ และการลงทุนในประเทศไทยและผลตอบแทนการลงทุนฯลฯ โดยมี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รมช.กระทรวงสาธารณสุข และ ทันตแพทย์ อาคม ประดิษฐสุวรรณ อธิบดี กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวเปิดงานถึงยุทธศาสตร์ของประเทศไทย เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของโลก
ทั้งนี้ ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รมช.กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงแผนการผลักดันประเทศไทยสู่ Wellness Destination โดยสรุปว่า ประกอบด้วย
1) สร้าง Product Champion เพิ่ม จากเดิมที่ฟ้าทะลายโจร และกระชายขาวเป็น Product Champion ด้วยนโยบายการส่งเสริมกัญชาทางการแพทย์, กัญชง, กระท่อมให้เป็น Product Champion เพิ่มเติม นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าสร้างสุขภาพที่ยั่งยืนด้วย Green Medicine เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่ใกล้แนวเส้นศูนย์สูตร จึงมีความได้เปรียบทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพเป็นอันดับ 8 ของโลก ทำให้สามารถปลูกพืชสมุนไพรได้อย่างหลากหลาย ด้วยต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้
2) สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจกับภาคการเกษตร ด้วยการสนับสนุนองค์ความรู้และเทคโนโลยีก็จะช่วยให้สมุนไพรเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับมากขึ้น
3) สร้างความยั่งยืนด้วย Medical Technology ด้วยการใช้นวัตกรรมเพื่อยกระดับสมุนไพรไทย และสนับสนุนให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ด้าน Green Medicine พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลก เพื่อสร้างการรับรู้และสร้างการตระหนักว่า ประเทศไทยนั้นเป็น Wellness Destination
"ในเบื้องต้น เรามีโครงการนำร่องและทำโครงการเส้นทางท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพที่เกี่ยวกับกัญชงและกัญชาที่ภาคอีสาน รับผิดชอบโครงการโดยสาธารณสุขเขต 8 เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกองค์กรภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับโซ่อุปทานเหล่านี้ อีกทั้งทำให้นักลงทุนจากทั่วโลกเดินทางเข้ามาที่ประเทศไทย เพื่อให้ประเทศไทยเป็น Destination ของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ"
ขณะที่ ทันตแพทย์ อาคม ประดิษฐสุวรรณ อธิบดี กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวถึงศักยภาพของตลาด Wellness ว่า
1) เทรนด์ตลาดมาแรง พิจารณาได้จากจำนวนผู้ใช้บริการด้าน Wellness ในส่วนของนวดและสปาจากปี 2561 เติบโตเป็น 40 ล้านครั้ง เพิ่มเป็น 2 เท่าจากปี 2559 และสัดส่วนการท่องเที่ยวแบบ Wellness กับแนวธรรมชาติในปัจจุบันเป็น 50:50 หรือในส่วนของ Medical Service ในประเทศไทยที่แม้เติบโตอย่างถดถอยในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่จากการปลดล็อกและเปิดฮอสปิเทลราว 2 เดือนให้กับชาวต่างชาติราว 3,000 คน, ญาติ 2,000 คนก็สามารถสร้างรายได้ 3,000 ล้านบาท, การเปิดให้นักกอลฟ์ราว 200 คนเข้ามากักตัวก็สามารถสร้างรายได้ 200 ล้านบาท ดังนั้น การเสริมศักยภาพให้กับผู้ประกอบการไทย เพื่อสร้างความสามารถทางการแข่งขันในเวทีโลกจึงสำคัญ
2) ไทยพร้อมรองรับ ตลาดนี้ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพและสร้างรายได้ได้ดี ที่สำคัญ เมื่อพิจารณากลับไปที่จำนวน Medical Service ที่ สบส.ดูแลก็จะพบว่า ประเทศไทยมีความพร้อมมาก ด้วยจำนวนสถานบริการทั้งรพ.เอกชนกว่า 400 แห่ง, รพ.รัฐกว่า 1,000 แห่ง, รพ.สต.กว่า 1 หมื่นแห่ง, คลินิก 3.2 หมื่นแห่ง, ผู้ประกอบการนวดและสปา 1.2 หมื่นแห่ง, ผู้ให้บริการในสถานบริการนวดและสปา 1.5 แสนคน และมีธุรกิจดูแลผู้สูงอายุกว่า 2,000 แห่ง นอกจากนี้ ภาครัฐยังมีนโยบายส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนากัญชา กัญชงและพืชสมุนไพรอื่นๆ ซึ่งน่าจะทำให้สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ดีๆ ที่มีผลการวิจัยรองรับอย่างเป็นมาตรฐานได้
การทำตลาดกัญชาทางการแพทย์ในตลาดต่างประเทศนั้น ญี่ปุ่นถือเป็นตลาดใหญ่ระดับ TOP 5 ของโลก และนับแต่เปิดตลาดตั้งแต่เม.ย.2563 ช่วงระยะเวลา 1 ปีกลับมีมูลค่าสูงถึง 1,300 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นถือเป็นตลาดที่มีมาตรฐานสูงและเข้มงวดมากกับสาร THC (Tetrahydrocannabinol) ซึ่งเป็นสารเสพติดประเภทที่ 1 ตามคำนิยามขององค์การอนามัยโลก
ทั้งนี้ ดร.โตชิฮิโกะ อิโต (Dr.Toshihiko Ito) ประธานสมาคมแคนนาบินอยด์แห่งญี่ปุ่น (Japan Cannabinoid Association:JCA) กล่าวถึงกฎระเบียบของญี่ปุ่นว่า
"JCA เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลในฐานะตัวแทนของรัฐบาล เพื่อสร้างตลาดที่ปลอดภัย และเพื่อมิให้มีการละเมิดกฎหมายหรือกระทำผิดในส่วนที่เกี่ยวกับสารสำคัญ THC โดยจะต้องเป็นศูนย์ (Non Detected) เนื่องจากญี่ปุ่นมีกม.ที่เข้มงวดและปราบปรามกัญชา อีกทั้งมีหน่วยงานพัฒนาแคนนาบินอยด์ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อตรวจสอบสารสำคัญ THC โดยเฉพาะ
ที่สำคัญ CBD ที่จะส่งออกไปญี่ปุ่นได้นั้นจะต้องผลิตจากส่วนของลำต้นหรือเมล็ดเท่านั้น ซึ่งนี่คือโจทย์ที่ยากมาก ฉะนั้น นี่จึงทำให้ญี่ปุ่นต้องส่งเสริมเพื่อสร้างแหล่งผลิตป้อนตลาดตนเอง เนื่องจากญี่ปุ่นปลูกเองในประเทศไม่ได้ แต่ก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงกม.ในอนาคต สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ก็จะเป็นความร่วมมือกับบริษัท ซันโยเทรดดิ้ง แห่งประเทศญี่ปุ่น และ บริษัท เวิลด์ เมดิคอล อัลไลแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบการไทยรายแรกที่ร่วมมือกับ JCA อีกทั้งจะเป็นความร่วมมือกับประเทศไทย เพื่อให้ไทยเป็นฐานผลิต CBD โดยที่ไม่จำเป็นต้องย้ายฐานผลิตไปที่ญี่ปุ่นเพียงอย่างเดียว อีกทั้งเพื่อการเดินหน้าสู่การเป็นผู้นำแห่งเอเชียในอนาคต"
สำหรับการขับเคลื่อนเพื่อชู 'Green Medical' พลิกฟื้น 'ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ' ในฐานะผู้จัดงาน The Global Medical Cannabis & Herbs Forum นำโดย ศิริญา เทพเจริญ ประธานบริหาร บริษัท เวิลด์ เมดิคอล อัลไลแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า
"เนื่องจากประเทศไทยถือเป็นตลาดด้าน Medical Tourism ระดับ TOP 5 ของโลก จากข้อมูลในปี 2019 ก่อนเกิดวิกฤติ โควิด-19 ประเทศไทยทำรายได้จากกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการแพทย์มากถึง 630 ล้านเหรียญสหรัฐ (1.89 หมื่นล้านบาท) นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาด้าน HealthTech โดยเปรียบเทียบกับ 4 ประเทศในอาเซียนพบว่า ประเทศไทยมีจำนวนการสนับสนุนสูงที่สุด นอกจากจำนวนเม็ดเงินของการลงทุน แพลตฟอร์มทางการแพทย์ที่เป็นเมกะเทรนด์ของโลกคือ คือ การแพทย์ที่เชื่อใน Green Medicine และ นวัตกรรมเพื่อการแพทย์ทางเลือกสมัยใหม่ที่เชื่อว่า ทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษาแบบทางเลือก จากทั่วโลกได้
สำหรับความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาในครั้งนี้ เราเชื่อว่า จะสามารถพลิกฟื้นการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพให้กลับมาสร้างรายได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งเชื่อว่า จะเป็นยุทธศาสตร์เชิงรุกที่ช่วยขับเคลื่อนให้กัญชง กัญชา และพืชสมุนไพรไทยอื่นๆ เข้าสู่เวทีโลก ทั้งนี้ ในส่วนการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่ดำเนินการอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำนั้น บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับเกษตรกรเพื่อส่งวัตถุดิบ พร้อมทั้งทำโครงการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพควบคู่ไปด้วย ขณะเดียวกัน ในส่วนของปลายน้ำ เราเน้นทำตลาดตลาดญี่ปุ่นที่มีมาตรฐานสูงก่อน โดยได้ร่วมมือกับJCA จากนั้นก็จะขยายตลาดสู่เยอรมนี และสหรัฐอเมริกา"