THE MALL VS CENTRAL เป้าหมายที่มีไว้พุ่งชน
31 Dec 2021

 

พฤศจิกายน 64 ก่อนส่งท้ายปี เราก็ทันได้เห็นค่ายธุรกิจรีเทลยักษ์ที่ชิงซีนกันหนักหน่วงทั้ง 'เดอะมอลล์ และเซ็นทรัล' ที่ต่างก็ประกาศเปิดตัวห้างสรรพสินค้าโฉมใหม่ของตนเองกันแบบไม่มีใครยอมใคร อย่างไรก็ตามใน 'ความเหมือน' นั้นก็มี 'ความต่าง' ของ 'เป้าหมายที่มีพุ่งชน' จากการนิยามของแต่ละค่ายบนบริบทและพื้นฐานของธุรกิจที่แตกต่างกัน โดยค่ายเซ็นทรัล จัดหนักทั้งแต่งตั้งซีอีโอใหม่ ประกาศแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ยกระดับห้างไทยสู่มาตรฐานระดับโลก และพร้อมเปิดตัวโปรเจกต์ใหญ่ 'เซ็นทรัล อยุธยา' ชู 'อัศจรรย์อยุธยา' บวก Communities Co-Creation ขณะที่ เดอะมอลล์ มองข้ามช็อตจับมือ บิทคัพ เร่งสร้างพันธมิตรใน Metaverse เพื่อสร้าง Money Machine ตัวใหม่ให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยไป สู่ 'เศรษฐกิจดิจิทัล' (Digital Economy)

 

มองข้ามช็อต เดอะ มอลล์ X บิทคัพ

การจับมือของ 'เดอะมอลล์ กรุ๊ป' กับ 'บิทคัพ' ถือเป็นการมองข้ามช็อตของการเป็น 'ธุรกิจรีเทล' สู่ 'เศรษฐกิจดิจิทัล' ด้วยการร่วมทุนกันจัดตั้ง บริษัท บิทคับ เอ็ม จำกัด ในสัดส่วน 50:50 เพื่อร่วมลงทุนและบริหาร Bitkup M Social ให้เป็นดิจิทัลคอมมูนิตี้ (Digital Community) แห่งแรกของประเทศไทยที่จะเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนความรู้ การจัดสัมมนาและการประชุมทางด้านเศรษฐกิจดิจิทัล การปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) เพื่อสนับสนุนการสร้างองค์ความรู้สำหรับกลุ่มสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการรุ่นใหม่และเป็นแหล่งพบปะของนักลงทุนที่สนใจการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Investment) ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เป็นศูนย์การเทรดและการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล รวมทั้งมี NFT (Non Fungible Token) Game & Gaming และนำเข้าสู่โลกของ Metaverse ในอนาคต

 

 

ศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะ มอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า

"จากการที่นักท่องเที่ยวและนักลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากทั่วโลกขณะที่ภาครัฐต้องผลักดันการฟื้นฟูภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการตลอดจนผลักดันประเทศไทยเป็น Destination อันดับ 1 ของนักท่องเที่ยว เพื่อให้ส่งผลกระทบเชิงบวกกับห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจด้านการท่องเที่ยวที่มีอยู่หลากหลายสาขา เพื่อให้ประเทศไทยเป็น Heaven for Digital Invester & Tourism หรือ สวรรค์สำหรับนักลงทุนทางด้านดิจิทัลและนักท่องเที่ยว นี่จึงทำให้ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด จับมือกับ บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ผู้นำธุรกิจทางด้านสินทรัพย์ดิจิทัล และเทคโนโลยีบล็อกเชน รวมถึงการเป็นผู้ให้บริการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือตลาดซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล เพื่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืน"

 

Bitkup M Social ถือเป็นโมเดลทางธุรกิจที่ เดอะมอลล์ และ บิทคัพ ต้องการส่งเสริมภาคธุรกิจ การลงทุนพัฒนาบุคลากรทางด้านดิจิทัล รวมทั้งการสร้างงาน/อาชีพ เป็นการกระจายรายได้ และลดช่องว่างทางสังคม เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาติและยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัลระดับภูมิภาคเอเชีย

 

พร้อมกันนี้ เดอะ มอลล์ ก็ยังจับมือกับเครือข่ายพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ชั้นนำของรประเทศจากหลากหลายวงการ เพื่อการร่วมกันเดินหน้าสู่ 'เศรษฐกิจดิจิทัล' ทั้งธูรกิจค้าปลีก, เอนเตอร์เทนเมนต์, ท่องเที่ยวและบริการ, สายการบิน เรือสำราญ, ธุรกิจโรงแรมและ Hospitality, ธุรกิจด้านสุขภาพและความงาม, โรงพยาบาล, ธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์, ธุรกิจยานยนต์ ซูเปอร์คาร์ เรือยอร์ชเพื่อการท่องเที่ยว ฯลฯ  ซึ่งหน่วยงานต่างๆ ที่พาเหรดเข้ามาร่วมสร้าง 'เศรษฐกิจดิจิทัล' กับ เดอะมอลล์ ในครั้งนี้ อาทิ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, โรงแรมในเครือดุสิตธานี, สายการบินแอร์เอเชีย, สายการบินบางกอกแอร์เวย์, อนันดา พร็อพเพอร์ตี้ และบริษัทในเครือ, มิลเลนเนียมออโต้กรุ๊ป, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ (BCH), เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ (BDMS) เพื่อร่วมกันจัดแคมเปญพิเศษต้อนรับเทศกาลแห่งความสุขในช่วงปีใหม่นี้ และมีเป้าหมายไกลๆ กว่านั้น คือ การช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่ยุทธศาสตร์ของการเป็นฮับในมิติต่างๆ อันได้แก่ ฮับทางด้านเศรษฐกิจ, ฮับทางด้านการเงิน, ฮับของการเดินทางทางอากาศ, ยุทธศาสตร์การเป็นนครหลวงแห่งการท่องเที่ยวของภูมิภาคเอเชีย, ยุทธศาสตร์ EEC และยุทธศาสตร์ One Belt One Road

 

 

 เพียงแต่การจะเดินสู่เป้าหมายดังกล่าวได้นั้น จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด สะท้อนมุมมองโลกยุคใหม่ที่จะเข้าสู่ยุค Metaverse ว่า

ในอีกสิบปีข้างหน้า สิ่งที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ไม่ใช่แค่ตัวเดียว แต่มาเป็นแพ็กเกจ ทั้ง AR/ VR/ Digital Device นำไปสู่โลกเสมือนที่เติบโตแบบคู่ขนานไปกับโลกจริง โดย 5 ปีในอนาคตจะเท่ากับ 50 ปีในอดีต ดังนั้น เราต้องคิดเร็ว - ทำเร็ว - ปรับตัว คนที่ปรับตัวไม่ได้จะเสียประโยชน์ แต่คนที่ปรับตัวได้ ก็จะได้ประโยชน์มหาศาล อย่างเฟซบุ๊ก กูเกิล ที่มีรายได้มหาศาล ในช่วงการระบาดของโควิดที่ประเทศไทยเคยเป็น World Top Tourism Destination ภาคการท่องเที่ยว มีมูลค่า 3 ล้านล้านบาท เทียบเป็น 20% ของจีดีพี แต่กลับมีรายได้เหลือเพียง 3 แสนล้านบาทในช่วงโควิด หายไป 1,000% หรือเหลือเพียง 2%

ซึ่งการเปิดประเทศอีกรอบกว่านักท่องเที่ยวจะเข้ามาเท่าเดิม ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปี เพื่อทำให้รายได้การท่องเที่ยวกลับมา 20% เร็วที่สุด ประเทศไทยต้องเปลี่ยนเป็น World Top Tourism Quality Destination เจาะเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ มีการใช้จ่ายสูง มีคุณภาพ อาจเจาะแค่ 1 ล้านคนก็พอ แต่นั่นจะทำให้กลับมาแตะ 20% ได้เร็วที่สุด

 

ทั้งนี้ หนึ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ คือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งดูเฉพาะลูกค้าที่มาเปิดบัญชีซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลกับบิทคับมีกว่า 3 ล้านบัญชี เติบโตต่อเนื่องกว่า 1,000% และมีมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 25,000 ล้านบาท/วัน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งการจะดึงนักลงทุนกลุ่มนี้เข้ามาได้จะต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ในประเทศให้เป็นมิตร ซึ่งความร่วมมือระหว่าง บิทคับ กับ เดอะมอลล์ กรุ๊ป ในครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการทรานส์ฟอร์มให้ประเทศไทยปรับตัวรับการเปิดประเทศครั้งใหม่ที่พร้อมเพื่อดึงคนกลุ่มใหม่เข้าไป

             

CEO ป้ายแดง ค่ายเซ็นทรัล

ก่อนโค้งสุดท้ายของปี เซ็นทรัล รีเทล เปิดตัว 'โอลิวิเยร์ บรง' ในฐานะแม่ทัพใหม่ที่พกพาประสบการณ์ห้างสรรพสินค้าชั้นนำระดับโลกกว่าสิบปีประกาศแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี 'เซ็นทรัล - โรบินสัน' ที่ตั้งเป้าเป็น 'ห้างแห่งอนาคต  เป็นห้างสำหรับลูกค้าอย่างแท้จริง ตอกย้ำการเป็น ‘ศูนย์กลางชีวิตของทุกคน’ (Central to Life) และยกระดับห้างไทยสู่มาตรฐานระดับโลก ด้วยยอดขายเติบโตอย่างแข็งแกร่งกว่า 2 เท่า พร้อมใส่คอนเซปต์ สร้างสีสันทั้ง New Look & New Experience มุ่งสร้าง Engagement เผย Q4/2564 จะส่งไฮไลต์ 3E รับปลายปีทั้ง Exciting Campaign - Extraordinary Store Transformation - Excellence Omni-Channel

 

 

แผนยุทธศาสตร์ของ 'เซ็นทรัล รีเทล' ภายใต้การนำของแม่ทัพใหม่มุ่งเติบโตอย่างมั่นคง ด้วยกลยุทธ์ Omnichannel ที่เริ่มต้นเป็นห้างแรกในประเทศไทย จนกลายเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งและแตกต่างด้วยสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ สินค้าที่ครบครันและช่องทางช้อปปิ้งอันหลากหลายส่งผลให้ห้างเซ็นทรัลและโรบินสันสามารถผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายจากสถานการณ์โควิด-19 มาได้อย่างเข้มแข็ง ด้วยผลสำเร็จของสถิติยอดขายจากช่องทางต่างๆ คือ ยอดขายของ Omni-Channel เพิ่มขึ้น 120% (Year to Date), ยอดดาวน์โหลด Central App กว่า 4 ล้านครั้ง, ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 70%,ยอดขายจาก Social Commerce อาทิ Chat & Shop และ Facebook Live เพิ่มขึ้น 100%, ยอดขายจาก Personal Shopper เติบโตถึง 300%

สำหรับกลยุทธ์เพื่อสร้างสีสันในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โอลิวิเยร์กล่าวว่า จะเน้นที่กลยุทธ์ 3E เพื่อสร้างความคึกคักและส่งมอบประสบการณ์ใหม่ๆ รับปลายปี ประกอบด้วย

  1. Exciting Campaign การส่งแคมเปญที่มีสีสัน เพื่อสร้างความตื่นเต้นทั้งกับเซ็นทรัลและโรบินสัน
  2. Extraordinary Store Transformation การพลิกโฉมห้างสรรพสินค้าในกลุ่มเซ็นทรัลรีเทลอย่างพิเศษสุด เพื่อสร้างสีสันทั้ง New Look & New Experience และ Engagement
  3. Excellence Omni-Channel การทำการตลาดผ่านช่องทางออมนิชาแนลที่เป็นเลิศ ซึ่งเป็นช่องทางที่เซ็นทรัลรีเทลบุกเบิกเป็นรายแรกของประเทศไทย

 

ขณะที่การเดินหน้าสู่ปี ‘65 นั้น วิสัยทัศน์ของ เซ็นทรัล รีเทล ที่มีห้างสรรพสินค้าทั้ง 'เซ็นทรัลและโรบินสัน' ที่มุ่งเป็นห้างสรรพสินค้าของคนไทยอย่างแท้จริงและยั่งยืน โดยลูกค้าสามารถรับประสบการณ์ที่ดีที่สุดจากสินค้าแบรนด์ไทยและแบรนด์ระดับสากลด้านแฟชั่นและของใช้ในบ้าน ด้วยโซลูชั่นเหนือระดับทั้งสินค้า และแบรนด์ใหม่ๆ  ผนวกกับการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ของห้างฯ ที่จะขับเคลื่อนธุรกิจของห้างเซ็นทรัลและโรบินสันสู่การเป็นห้างแห่งอนาคตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน

โดยตั้งเป้ายอดขายจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งกว่า 2 เท่าภายใน 5 ปี นับแต่ปี 2564 - ปี 2569  ด้วย 6 กลยุทธ์หลัก ประกอบด้วย

  1. เลือกสรรสินค้าและบริการที่ดีที่สุดเพื่อลูกค้า รวมถึงสินค้าที่มีจำหน่ายเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะห้างเซ็นทรัลและโรบินสัน อีกทั้งยังมุ่งนำเข้าสินค้าและแบรนด์ใหม่ๆ เพื่อสร้างความรู้สึกตื่นตาตื่นใจ และส่งเสริมให้ห้างเซ็นทรัลและโรบินสันเป็น  Destination  ในการช้อปปิ้งของลูกค้าทุกแผนก
  2. ปรับปรุงและขยายสาขาเพิ่มความแข็งแกร่ง ด้วยงบลงทุนถึง 5,000 ล้านบาท เพื่อให้ห้างมีความเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคนในทำเลนั้นๆ เป็นศูนย์กลางให้กับชุมชน โดยในปี 2565 จะปรับปรุงห้างเซ็นทรัล ชิดลม, ห้างเซ็นทรัล ลาดพร้าว, ห้างเซ็นทรัล พระราม2, ห้างโรบินสัน ฉะเชิงเทรา, ห้างโรบินสัน ศรีสมาน รวมถึงห้างโรบินสันในศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ในจังหวัดที่มีศักยภาพที่อ.ถลาง จ.ภูเก็ต และอีก 2 สาขาในปีหน้าด้วย
  3. มุ่งสู่การเป็นห้างสรรพสินค้าออมนิชาแนลอันดับ 1 ของไทย  ห้างเซ็นทรัลและโรบินสันมุ่งพัฒนาออมนิชาแนลให้ดียิ่งขึ้น เพราะเป็นหัวใจสำคัญในการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทั้ง O2O (Offline2Online) อย่างไร้รอยต่อ ด้วยงบลงทุนด้านเทคโนโลยีกว่า 3 ,000 ล้านบาท  ภายใน 5 ปี เพื่อพัฒนา Central App ให้เป็น Super App ที่มีบริการ 'ครบจบในแอปเดียว' พร้อมเพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้งและอำนวยความสะดวกให้เข้าถึงไลฟ์สไตล์ความต้องการส่วนบุคคลมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาบริการในช่องทาง S-Commerce อันหลากหลายของห้างให้ดียิ่งขึ้น
  4. สร้างความแตกต่างทางการตลาดที่เหนือกว่าเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า ด้วยการสร้างประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นผ่านการตลาดที่แตกต่าง เหนือกว่า ตอบสนองได้ดีกว่า เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีและความประทับใจให้กับลูกค้า ทั้งการสร้างสรรค์ Signature Event ระดับประเทศ และระดับท้องถิ่น ตลอดจนการทำคอนเทนต์ที่น่าติดตามในโซเชียลมีเดียของห้าง การสื่อสารด้วยสื่อโฆษณาทั้งภายในและภายนอกห้าง รวมทั้งการมีกระบอกเสียงผ่านอินฟลูเอนเซอร์ในระดับประเทศและท้องถิ่นของแต่ละสาขา โดยจะส่งทั้งกิจกรรมและโปรโมชั่นที่มีสีสันในโอกาสครบรอบ 75 ปีของห้างเซ็นทรัลตลอดทั้งปี
  5. สร้างความพึงพอใจสูงสุดให้ลูกค้า ด้วยการสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ดีที่สุดให้ลูกค้านับตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้ามาในห้างเซ็นทรัลและโรบินสัน ด้วยการพัฒนาบริการต่างๆ ของพนักงาน  การตกแต่งและสร้างบรรยากาศในร้าน การนำโซลูชั่นต่างๆ เพื่อปรับปรุงขั้นตอนการให้บริการ ตลอดจนการใช้บริการผ่าน Central App และ Personal Shopper ของห้าง ก็จะต้องได้รับความสะดวกสบายและความประทับใจด้วยเช่นกัน
  6. มัดใจลูกค้าด้วยดาต้าที่สมบูรณ์แบบที่สุดการออกแบบแคมเปญ CRM ให้เข้าถึง ตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น จากการใช้ดาต้าบนฐานข้อมูล The1 ที่มีสมาชิกกว่า 18 ล้านราย จึงสามารถวิเคราะห์และนำเสนอโปรโมชั่นพร้อมสิทธิประโยชน์ที่โดนใจลูกค้าคนไทย และนักท่องเที่ยวมากที่สุดผ่านการสื่อสารที่ไม่ซับซ้อน เพื่อให้ลูกค้าเห็นถึงสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับอย่างชัดเจน

 

 

โปรเจกต์ยักษ์ เซ็นทรัล อยุธยา

โปรเจกต์ยักษ์ที่เพิ่งเปิดตัวกันไป 'เซ็นทรัล อยุธยา' โครงการ Fully-integrated Mixed-Use Development ริมถนนสายเอเชียของ บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) มูลค่า 6,200 ล้านบาท ประกอบด้วยศูนย์การค้า 4 ชั้น รวม 400 ร้านค้า, คอนโดมิเนียม Escent Ville Ayuthaya 400 ยูนิต, โรงแรม 220 ยูนิต รองรับนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ, คอนเวนชั่นฮอลล์ ศูนย์กลางธุรกิจ MICE โดยมุ่งเจาะตลาดเขตภาคกลางทั้งอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท สุพรรณบุรี และประชากรในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ จำนวน 1.66 แสนคนพื้นที่จัดงาน 2,000 ตร.ม. รองรับได้กว่า 2,000 คน และ Cultural Space พื้นที่ Interactive Museum (พร้อมเปิดให้บริการ Q4/2565)

 

 

ด้วยทำเลของ โครงการเซ็นทรัล อยุธยา ถือเป็นเกตเวย์เชื่อมสู่ภาคเหนือ และอีสาน อีกทั้งเป็นพื้นที่เหมาะสำหรับด้วยคอนเซปต์ 'อัศจรรย์อยุธยา' พร้อมชูความเป็นเมืองมรดกโลก และนิยามความเป็นกรุงเก่าเสียใหม่ให้มีความทันสมัย เข้าถึงได้ อีกทั้งต้องเป็น Destination ใหม่ของทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ด้วยแนวคิดเบื้องหลังที่ต้องการเชื่อมโยงชุมชน ความเป็นท้องถิ่น (Localization) พร้อมร่วมฉลองในโอกาสครบรอบ 30 ปีที่อยุธยาเป็น UNESCO World Heritage ด้วยโลกทัศน์ของคนยุคใหม่

 

ทั้งนี้ โฟกัสของการพัฒนาโครงการเซ็นทรัล อยุธยานั้นวางบน 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่

  • 1) การเชิดชูความภูมิใจและเติมเต็มการใช้ชีวิตของชาวอยุธยา ด้วยโครงการมิกซ์ยูสที่สมบูรณ์แบบบนที่ดิน 47 ไร่ พื้นที่รวม 6.8 หมื่นตร.ม. ดึงศักยภาพเมืองด้วย Kyoto Model ดึงเอกลักษณ์เมืองมรดกโลกพร้อม เติมเต็มด้วยพื้นที่การค้าและศูนย์กลางการใช้ชีวิต โดยชูความโดดเด่นของสถาปัตยกรรมร่วมสมัย Thai Twist ที่ได้แรงบันดาลใจจากอัตลักษณ์ท้องถิ่นสู่สายตาชาวโลก ส่องสปอตไลต์การท่องเที่ยวของจังหวัดอยุธยาสู่ระดับโลก โดยเป็นโครงการที่ CPN ใส่ใจทุกรายละเอียดของงานออกแบบก่อสร้าง ร่วมกับทั้งสถาปนิกและช่างฝีมือท้องถิ่นเพื่อรังสรรค์ให้เซ็นทรัล อยุธยาเป็นโครงการระดับมาสเตอร์พีซ หวังเจาะกลุ่มคนอยุธยา 85% และนักท่องเที่ยวทั้งไทย/เทศ 15% มุ่งตอบโจทย์ Unmet Need ของคนอยุธยาที่มีกำลังซื้อสูงอย่างกลุ่ม Young Affluent ด้วยแบรนด์ชั้นนำและไลฟ์สไตล์ Urban Vibes และ Experiential Retail ที่สร้างประสบการณ์ให้เซ็นทรัล อยุธยาเป็นทั้ง Cultural, Shopping & Living Space

 

  •  2) การอนุรักษ์และยกระดับการท่องเที่ยวอยุธยาทั้งระบบ เพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศตั้งแต่ Q4/2564 และปูพรมต่อเนื่องถึงปี 65 ด้วยการเป็น ‘จุดเริ่มต้นและจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่ครบครัน’ ซึ่งจะเข้าไปเติมเต็มไลฟ์สไตล์ Tourist’s Journey ให้ท่องเที่ยวได้ทั้งแบบ Day-to-Night  ช่วยส่งเสริมให้เที่ยวอยุธยาได้นานขึ้น Longer Stay 2 วัน 1 คืน ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้นกับ Tourist Transportation Hub และ Information Center รวมไปถึงทำให้ไลฟ์สไตล์ทริปสนุกขึ้น กับประสบการณ์ท่องเที่ยวท้องถิ่นแท้ๆ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว กระจายรายได้ไปให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและชุมชนต่างๆ มากขึ้นอีกด้วย

 

  • 3) การยกระดับท่องเที่ยวและผลิตภัณฑ์ชุมชน สร้างและกระจายรายได้ให้กับชุมชน อันเป็นวิสัยทัศน์ของ CPN ที่ต้องการเข้าไปช่วยส่งเสริมและยกระดับทุกชุมชนกับโครงการต่างๆ ของตนเองไปตั้งอยู่

 

[อ่าน 2,134]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แว่นท็อปเจริญ ย้ำจุดยืนผู้นำธุรกิจการให้บริการด้านสายตา ผ่านภาพยนตร์โฆษณา “มองเห็นถึงทุกด้านของชีวิต”
องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี จับมือ เคทีซี เปิดตัวแคมเปญ “Korea Everything”
ศุภาลัย ผนึก ทีโอเอ ปั้นนวัตกรรมที่อยู่อาศัยสีเขียว ผุดโปรเจกต์ยักษ์ ‘ฝ้ายิปซัม & สีรักษ์โลก’
KFC Thailand ครบรอบ 40 ปี เปิดตัว “แบมแบม กันต์พิมุกต์” 
Friend of KFC คนแรกของประเทศไทย
CMG ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ส่งแบรนด์ FitFlop ลุยตลาดเวียดนาม ปลื้มได้สิทธิ์ผู้แทนจำหน่ายเพียงรายเดียว
‘วิถี 8’ กุญแจสำคัญสร้าง ‘ผู้นำที่ใช่’ พิชิตความท้าทายในโลกธุรกิจยุคใหม่
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved