ธนาคารกรุงไทยปลดล็อกการลงทุนข้ามพรมแดนด้วยผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ 'ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ' (Depositary Receipt : DR) Alibaba DR หรือ BABA80 เป็นครั้งแรก (IPO) ด้วยจำนวน 2,000 ล้านหน่วย (1 หุ้น Alibaba = 100 DRs) พร้อมเน้นให้นักลงทุนทุกระดับชั้นอย่าง 'ทั่วถึง - เท่าเทียม' แถมซื้อขายได้ด้วยเงินสกุลบาทและซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ที่เคยเปิดบัญชีไว้ในประเทศไทยได้และได้รับสิทธิเสมือนการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศโดยตรง
สำหรับทางเลือกใหม่อย่าง Alibaba DR ในครั้งนี้ คุณกฤชกร นนทะนาคร Head of Debt Capital Market & Investment Banking ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ให้คำตอบกับหลายๆ คำถามที่เกิดขึ้น
การเปิดตัว Alibaba DR ครั้งนี้ถือเป็นการปลดล็อกให้คนไทยข้ามแดนลงทุนในต่างประเทศได้ง่ายๆ หรือไม่
กล่าวได้ว่าเป็นการปลดล็อก เพราะจากประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยคิดจะเปิดพอร์ตลงทุนกับหุ้นในต่างประเทศเหมือนกัน แต่ก็มีปัญหายุ่งยากมากๆ เช่น จะลงทุนกับโบรคเกอร์รายไหน แล้วซื้อด้วยเงินสกุลใด จะเสี่ยงกับอัตราแลกเปลี่ยนหรือไม่ และจะติดตามสภาวะตลาดนั้นๆ ได้อย่างไร ฯลฯ
สำหรับธนาคารกรุงไทยที่ผ่านมา เราได้พยายามเข้าถึงไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชั่น เป๋าตัง, เราเที่ยวด้วยกัน การใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการของรัฐ การซื้อพันธบัตร/หุ้นกู้ และล่าสุด คือ การซื้อทองคำ แต่สิ่งที่ขาดไปคือ หุ้นต่างประเทศ เราจึงคิดว่า นวัตกรรมที่เราจะแนะนำให้กับตลาดก็คือ DR หรือ ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้การลงทุนข้ามพรมแดนคล่องตัวและง่ายขึ้น สะดวกขึ้น เสมือนการปลดล็อก นั่นคือ การนำ DR ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นหลักที่อยู่ในกระดานต่างประเทศมาวางในกระดานของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่อให้เทรดผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ไทยได้ ด้วยเงินสกุลบาท และสามารถลงทุนโดยใช้โบรคเกอร์รายเดิมได้ตามปกติ
จุดขายของ DR ที่ธนาคารกรุงไทยนำเสนอ และเน้น 'ทั่วถึง - เท่าเทียม' ในครั้งนี้ถือเป็น DR for All หรือเปล่า
ใช่ครับ เพราะนี่คือ ผลิตภัณฑ์สำหรับทุกคนจริงๆ ที่สามารถซื้อหาได้ ที่สำคัญการเปิดพอร์ตโบรกเกอร์สมัยนี้ ก็เปิดได้ง่ายมาก โดยสามารถเปิดได้ทั้งจากโมบายแบงกิ้งหรือเว็บไซต์ก็ได้ ฉะนั้นการลงทุนจึงไม่ใช่เรื่องเฉพาะของคนที่มีเงินเท่านั้น แต่ในยุคนี้ คนมีเงินแค่ไหน ทุกคนก็สามารถลงทุนได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นวีไอพี
สำหรับหุ้น Alibaba ในกระดานซื้อขายตลาดหลักทรัพย์ฯ ฮ่องกงนั้นจะซื้อขายกันที่ขั้นต่ำ 100 หุ้น ซึ่งจะต้องใช้เงินซื้อหุ้นขั้นต่ำราว 1 หมื่นดอลล่าร์ฮ่องกง (HKD: ราคา ณ วันที่ 10 ก.พ.อยู่ที่ประมาณ 123 HKD/หุ้น) ดังนั้น หากจะลงทุนก็ต้องใช้เงินลงทุนขั้นต่ำประมาณ 4-5 หมื่นบาทขึ้นไป ไม่รวมค่าธรรมเนียมและอื่นๆ อีกหลายอย่าง ขณะที่การเปิดตัว Alibaba DR (BABA80) ของธนาคารกรุงไทย เพื่อเป็นทางเลือกการลงทุนครั้งนี้กำหนดที่ 1 หุ้น Alibaba เท่ากับ 100 DRs ซึ่งธนาคารได้ทำการเสนอขาย IPO ให้กับนักลงทุนรายย่อยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ระหว่างวันที่ 14 - 17 ก.พ. 2565 และถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน โดยมีนักลงทุนที่เข้ามาให้ความสนใจของซื้อตราสารเข้ามาเป็นจำนวนมาก สำหรับการซื้อขาย BABA80 ผ่าน SET สามารถทำได้ตั้งแต่วันที่ 23 ก.พ. 65 เป็นต้นไป กับโบรกเกอร์ที่มีบัญชีซื้อขายอยู่ก่อนได้ เพื่อส่งคำสั่งซื้อขาย DR ได้ทันที ที่สำคัญ นักลงทุนสามารถเชื่อมั่นกับความปลอดภัยที่ไม่แตกต่างกับการทำธุรกรรมกับธนาคารทุกอย่าง
เกณฑ์การเลือก Alibaba เพื่อเปิดตัว Alibaba DR คืออะไร และจะเปิดตัว DR เพิ่มเติมอีกหรือไม่
ตรงนี้ยังระบุชัดเจนไม่ได้ว่าจะโฟกัสที่หุ้นตัวใดอีก แต่การนำ Alibaba มาทำเป็น DR ถือเป็นการนำร่องเท่านั้น Alibaba DR ย่อมจะไม่ใช่หุ้นตัวแรกและตัวสุดท้าย ส่วนสาเหตุที่เราเลือก Alibaba นั้น เนื่องจาก 1) Alibaba เป็นหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรกของตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ซึ่งแน่นอนว่า ในการเลือกลงทุนกับหุ้นหรือหลักทรัพย์นั้น เราย่อมต้องการหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง และเราเชื่อว่า Alibaba มีสภาพคล่องอย่างเพียงพอทั้งหมด 2) เมื่อเลือก Alibaba ซึ่งเป็นหุ้นที่มีชื่อเสียงคนรู้จักไปทั่วโลก เป็น Tech Company และทำธุรกิจด้าน อี-คอมเมิร์ซ
มีแผนจะเลือกหุ้นอื่นๆ จากฝั่งตะวันตกเข้ามาด้วยหรือไม่
ในอนาคตเราก็ยังคงมองหาหุ้นที่มีความโดดเด่นตัวอื่นๆ เพิ่มเติม ทั้งนี้เราไม่ได้มีข้อจำกัดว่า เราจะเลือกหุ้นตัวไหนมาเทรดเป็น DR เพียงแต่สิ่งที่เรามองประกอบด้วย คือ 'ระยะเวลาของการเทรด' เนื่องจาก 'เวลาเทรด' ถือว่ามีนัยสำคัญอย่างมาก เพราะเราต้องการทำให้เทรดง่ายและสะท้อนสภาพความเป็นจริงของสภาวะตลาด
อย่างกรณีของ Alibaba DR ถือได้ว่า ทั้งตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงและไทยมีเวลาเปิดปิดใกล้เคียงกัน ทำให้ราคาหุ้นของการเทรดนั้นๆ สะท้อนความเป็นจริงแบบเรียลไทม์ในตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทย แต่ถ้าเอาหุ้นในตลาดตะวันตกอย่างตลาดนิวยอร์กมาที่มีเวลาเทรดต่างกับไทยถึง 12 ชม. แล้วราคาจะถูกรายงานในวันใหม่ ขณะที่ราคาในระหว่างวันที่มีการเทรดจะเป็น 'อุปสงค์อุปทาน' ของคนซื้อที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทยกันเอง ไม่ได้สะท้อนความเป็นจริง 100% เหมือนกับตลาดที่มีการเทรดในเวลาใกล้เคียงกันที่จะมีราคาสะท้อนความเป็นจริงมากที่สุด เหมือนกับหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดแม่ของบริษัทนั้นๆ
ในฐานะที่ธนาคารกรุงไทยเป็น Issuer จะ Educate หรือ Impulse ตลาด DR ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับประชาชนอย่างไร
ตรงนี้ต้องเป็นกลไกของตลาด แต่ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับหลักทรัพย์นั้นๆ ด้วยว่า มีสภาพคล่องมากน้อยอย่างไร ดังที่ได้กล่าวถึงในตอนต้นที่ว่า Alibaba เป็น 'หลักทรัพย์ตัวแม่' ที่มีการเทรดสูงสุด 5 อันดับแรกของตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ดังนั้น หุ้นที่มีการเทรดเป็นจำนวนมาก, หุ้นที่มีราคาเปลี่ยนแปลงมากๆ และหุ้นที่มีสภาพคล่องมาก ปัจจัยเหล่านี้ก็ย่อมจะสร้างแรงกระตุ้นให้เกิดการซื้อขายเข้ามาเองโดยธรรมชาติ แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือ 1) การเลือกหลักทรัพย์ที่จะเข้ามาเป็น DR 2) ตลาดหลักทรัพย์ที่มีการเติบโตอย่างเต็มที่ (mature) ของ 'หลักทรัพย์ตัวแม่' ที่จดทะเบียนอยู่ เช่น ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว หรือตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กฯลฯ ซึ่งถือเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ก่อตั้งจนเป็นที่ยอมรับอยู่แล้ว (establish) ซึ่งมีผู้เล่นเป็นจำนวนมาก ณ จุดนี้ก็จะเป็น กลไกที่จะช่วยให้การเทรด DR เกิดขึ้นได้มาก
ระหว่างการลงทุน DR กับ 'คริปโต' เราจะเดินหมากอย่างไรเพื่อทำ Share of Wallet
เมื่อมองที่ DR ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีลักษณะชัดเจน จับต้องได้เหมือนกับหุ้น เพราะมีกิจการเป็นรูปธรรม, สามารถตรวจสอบงบการเงิน/ผลประกอบการได้ เพียงแค่การเข้าหน้าเว็บไซต์ชองบริษัทนั้นๆ หรือกลต. หรือในกรณีนี้ก็เป็น AlibabaGroup.com ก็จะสามารถเช็คปัจจัยพื้นฐาน (fundamental) ได้ ขณะที่การเทรดสกุลเงินดิจิทัล หรือ 'คริปโต' นั้นยังถือเป็นของใหม่ แต่ในเชิงของ establish หรือ fundamental กล่าวได้ว่า จุดแข็งของการเป็นสินทรัพย์ยังไม่ชัดเจนและยังมีข้อจำกัดอยู่ในบางจุด ดังนั้น ถ้านักลงทุนจะลงทุนกับ 'คริปโต' ก็ควรต้องจัดสรรพอร์ตการลงทุนของตนเองว่า จะฝากเป็นเงินสดเท่าไร จะซื้อพันธบัตรเท่าไร หรือลงทุนกับหุ้นเท่าไรฯลฯ ซึ่งนักลงทุนก็จะต้องกระจายความเสี่ยงของการลงทุนในพอร์ตโฟลิโอให้มีความเหมาะสมด้วย
ธนาคารกรุงไทยคาดหวัง หรือตั้งเป้ากับการออก DR ครั้งนี้อย่างไร
เนื่องจากนี่คือครั้งแรกของการที่นำเอาหุ้นในต่างประเทศมาทำเป็น DR แล้วขายในประเทศไทย เป้าหมายหลักๆ ของเราคือ เราอยากพัฒนาทุนไทย เพื่อให้เกิด 'ความทั่วถึง - เท่าเทียม' เมื่อเราทำให้ DR มีราคาขั้นต่ำที่ 4-5 บาทนี่ก็ทำให้เกิดการเข้าถึง และทุกคนสามารถซื้อขายหลักทรัพย์ได้หมด อย่างไรก็ตาม คงต้องดูฟีดแบค เพื่อประเมินกันอีกทีว่า ประเทศไทยจะเติบโตได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งตรงนี้เราก็ต้องมาประเมินกันเป็นระยะๆ
แต่ที่สำคัญ คือ การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง DR ก็ถือเป็นทางเลือกหนึ่งฉะนั้น ก่อนที่จะลงทุนจะต้องศึกษาข้อมูลถึงความเสี่ยงของตัวหุ้นที่ประกอบธุรกิจนั้นๆ ศึกษาสภาพคล่อง ภาวะอุตสาหกรรมและภาวะแวดล้อม เศรษฐกิจมหภาค ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน แล้วก็ประเมินว่า เราสามารถรับความเสี่ยงนี้ได้หรือไม่
บทสัมภาษณ์จากนิตยสาร MarketPlus Issue 143 March 2022