ในห้วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นหนึ่งในธุรกิจที่นิ่งเสมือนอยู่ในสุญญากาศ ทั้งจากการก่อสร้างที่ทำไม่ได้ต่อเนื่อง ส่วนที่สร้างเสร็จแล้วก็ไม่รู้จะไปขายให้กับใคร ขณะที่ดอกเบี้ยของธนาคารไม่ได้นิ่งตาม ส่งผลให้บรรดาดีเวลลอปเปอร์น้อยใหญ่ต่างงัดกลยุทธ์กันสุดแรงเกิด เพื่อให้สภาพคล่องของบริษัทเดินหน้าไปต่อได้

กระนั้น จากมาตรการจากภาครัฐ ทั้งการปลดล็อก LTV เมื่อปลายปีที่ผ่านมา และการลดค่าจดทะเบียนโอนและจำนองในบ้านที่ราคาไม่ถึง 3 ล้าน ร่วมกับการเข้าถึงของวัคซีนของผู้คนจำนวนมาก ก็เริ่มทำให้เห็นแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีขึ้น

โดยเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) มีผลประกอบการที่สวนกระแสความท้าทายภายใต้สถานการณ์ต่าง ๆ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการครอบคลุมทุกโปรดักส์และเซกเมนต์ โดยเฉพาะโครงการแนวราบที่ประสบความสำเร็จทั้งในโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม

ส่งผลให้มียอดขายโครงการแนวราบทะลุเป้าไปอยู่ที่ 22,400 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 12% และโตขึ้นเกือบ 10% จากยอดขายแนวราบปีก่อน ประสบความสำเร็จ Sold out โครงการแนวราบไป 11 โครงการ มูลค่ารวม 20,700 ล้านบาท

โดยยอดขายแนวราบที่ทำได้คิดเป็นสัดส่วน 67% จากยอดขายรวมปี 2564 ขณะที่ยอดโอนโครงการแนวราบสูงกว่าเป้าหมายที่ 18,300 ล้านบาท และคิดเป็น 55% จากยอดโอนรวมปี 2564

Critical Success Factor

อาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ความสำเร็จมาจากการมีโครงการแนวราบที่ตอบรับทุกความต้องการ กระจายในหลายทำเล และหลายระดับราคา

ประกอบด้วย ทาวน์โฮมแบรนด์ “สิริ เพลส” ระดับราคาเริ่มต้น 1.8 ล้านบาท กับซีรีส์ใหม่ “Dream Destination” ที่เปิดตัวในปีที่ผ่านมาและได้รับความสนใจและกระแสตอบรับที่ดี ตั้งแต่การเปิดตัว สิริ เพลส บางนา-เทพารักษ์ แรงบันดาลใจการออกแบบจากมหานครนิวยอร์ก และสิริ เพลส วงแหวน – ลำลูกกา แรงบันดาลใจการออกแบบจากเสน่ห์แห่งเมืองเกียวโต

รวมทั้งในโครงการบ้านและทาวน์โฮมแบรนด์ “อณาสิริ” ระดับราคา 2 – 6 ล้านบาท ตอบรับแนวคิดการอยู่อาศัยแบบ Feel Just Right “ความพอดีที่ลงตัว” ที่ประสบความสำเร็จ สร้างรายได้ที่โดดเด่นในปีที่ผ่านมา โตขึ้นถึง 120%

บ้านเดี่ยวแบรนด์ “เศรษฐสิริ” และ “บุราสิริ” ระดับราคา 8 – 20 ล้านบาท ที่ตอกย้ำความเป็นผู้นำการพัฒนาแบรนด์บ้านเดี่ยวระดับบน สร้างรายได้ในที่ผ่านมาไปถึง 7,800 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 44% จากรายได้รวมแนวราบ โดยปิดการขาย (Sold Out) ไป 4 โครงการ คือ เศรษฐสิริ พัฒนาการ, บุราสิริ พัฒนาการ, บุราสิริ รังสิต และบุราสิริ วงแหวน – อ่อนนุช

“ขณะที่ยังปั้นแบรนด์ “BuGaan” (บูก้าน) เอ็กซ์คลูซีฟ โมเดิร์น เรสสิเดนท์ ระดับราคา 35.9 - 80 ล้านบาท ได้โดนใจลูกค้ากลุ่ม Young Successor ส่งผลให้ปิดการขายโครงการใน 4 เดือน ตอกย้ำเบอร์หนึ่งผู้นำอสังหาฯ ไทยในตลาดลักซ์ชัวรี่”

SANSIRI 2022 “Home For Everyone”

สำหรับแผนธุรกิจในการพัฒนาโครงการแนวราบในปี 2565 แสนสิริวางแผนเปิดตัวโครงการแนวราบ รวม 28 โครงการ มูลค่ารวม 39,000 ล้านบาท รุกแนวราบในสัดส่วนถึง 75% จากแผนเปิดตัวโครงการรวมในปีนี้

โดยแบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 11 โครงการ มิกซ์โปรดักส์ 5 โครงการ และทาวน์โฮม 12 โครงการ ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ในสัดส่วน Affordable 45% Medium 26% และ Premium 29%

ตั้งเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบในปีนี้ไว้ที่ 24,000 ล้านบาท คิดเป็น 70% จากเป้าหมายยอดขายรวมของแสนสิริ พร้อมวางเป้ายอดโอนโครงการแนวราบไว้ที่ 22,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 63% จากเป้าหมายยอดโอนรวมของแสนสิริ เติบโตขึ้น 20% จากยอดโอนในปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 18,300 ล้านบาท

นอกจากนี้แสนสิริยังมองถึงความแข็งแกร่งระยะยาวในช่วง 3 ปี ที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยแผนการเปิดตัวโครงการแนวราบมูลค่ารวม 80,000 ล้านบาท พร้อมเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบ 3 ปีที่ 62,000 ล้านบาท สอดคล้องแผนธุรกิจระยะยาวที่เคยประกาศไว้

“ไฮไลท์การพัฒนาโครงการแนวราบในปีนี้ แสนสิริจะตอกย้ำแนวคิด “Home for Everyone” ด้วยการพัฒนาโครงการแนวราบที่ครอบคลุมทุกโปรดักส์ บ้านเดี่ยว – บ้านแฝด – ทาวน์โฮม ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ความต้องการ ในทุกระดับราคา และทุกทำเล เจาะกลุ่ม Real Demand”

อันได้แก่ เปิดตัว “สิริ เพลส” 8 โครงการใหม่ ลุยตลาดทาวน์โฮมราคาเข้าถึงง่าย, การสานต่อความสำเร็จของแบรนด์ “อณาสิริ” ที่ประสบความสำเร็จในปีที่ผ่านมา เพื่อตอบรับความต้องการที่หลากหลาย ด้วยการเปิดตัวอีก 4 โครงการใหม่, การรุกแบรนด์ “สราญสิริ” และเปิดตัว 6 โครงการใหม่ในปีนี้

นอกจากนี้ยังครองความเป็นผู้นำบ้านเดี่ยวระดับบน ด้วยการเปิดแบรนด์ “เศรษฐสิริ” และ “บุราสิริ” ต่อเนื่อง ยังรวมถึงการต่อยอดความสำเร็จในตลาดบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ เปิดแบรนด์ “บูก้าน” ทำเลใหม่ และเปิดตัว “DEMI” New Residence Product เป็นครั้งแรกด้วยโครงการ DEMI SATHU49 (เดมี่ สาธุฯ 49)

“ในปีนี้ แสนสิริยังมี่ไฮไลท์การเปิดตัวแบรนด์ต้นแบบบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ของแสนสิริที่ “นาราสิริ” ซึ่งมีแผนเปิดตัว 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 8,300 ล้านบาท หลังจากที่แสนสิริไม่ได้มีการเปิดตัวบ้านเดี่ยวแบรนด์นาราสิริใหม่ออกสู่ตลาดในช่วงที่ผ่านมา จากการที่ทำเลที่ดินส่วนใหญ่ยังไม่เหมาะสมกับการพัฒนาสินค้าระดับไฮน์เอนด์

ขณะที่ความเชื่อมั่นจากลูกค้าในการพัฒนาบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ของแสนสิริ รวมถึงความต้องการบ้านเดี่ยวระดับบนก็ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง จึงเป็นที่มาของการเปิดตัวแบรนด์นาราสิริ ในปีนี้”

นอกจากนี้แสนสิริยังมีแผนพัฒนาเมืองเพื่อการอยู่อาศัย โดยเตรียมพัฒนาที่ดินในทั่วทุกมุมเมือง อาทิ ทำเลกรุงเทพกรีฑา, กรุงเทพฯ – ปทุมธานี, ราชพฤกษ์ 346 และรังสิต-บางพูน ปั้น “Sansiri Districts” ดึงลูกค้าดีมานด์จริงเข้าถึงได้ในทุกระดับราคารอบกรุงเทพฯ

Net Zero – New Design

ในปี 2565 แสนสิริยังไฮไลท์การพัฒนาโครงการใหม่ภายใต้แนวคิด “YOU-Centric” แสนสิริจะนำเสนอโครงการที่คิดมาจากความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะในด้านดีไซน์และฟังก์ชันใหม่ของโครงการแนวราบ ที่แตกต่างจากคู่แข่ง โดยในปีนี้จะได้เห็นอย่างเต็มรูปแบบในทุกแบรนด์แนวราบ อาทิ

“สิริ เพลส” ซีรีย์ Dream Destination ที่พร้อมเปิดตัว 3 โครงการพร้อมกันในไตรมาสแรก “สิริ เพลส พัฒนาการ - สิริ เพลส เมกาบางนา - สิริ เพลส บางนา - สุวรรณภูมิ” ภายใต้แรงบันดาลใจการออกแบบจากมหานครนิวยอร์ก และปารีส พร้อมเปิดตัวเร็ว ๆ นี้อีก 3 โครงการ ภายใต้แรงบันดาลใจในการออกแบบจากเมืองอัมสเตอร์ดัม เมืองหลวงของประเทศเนเธอร์แลนด์

รวมถึงการสานต่อความสำเร็จของแบรนด์ “อณาสิริ” แนวคิดการอยู่อาศัย Feel Just Right “ความพอดีที่ลงตัว” เปิดตัว “อณาสิริ รามคำแหง” กับบ้านที่ได้รับแรงบันดาลใจจากแถบเมดิเตอร์เรเนียน

พร้อมพบกับบ้านเดี่ยวหลังแรกของครอบครัว แบรนด์ “สราญสิริ” กับภาพลักษณ์ใหม่ “WHERE THE LOVE EXPANDS” พร้อมดีไซน์ Modern Farmhouse และฟังก์ชันที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด

ครั้งแรกในวงการที่อยู่อาศัย บ้านเดี่ยวแบรนด์ “บุราสิริ” ที่จะยกระดับภาพลักษณ์แบรนด์ จากความเป็นบ้าน บรรยากาศรีสอร์ท สู่ “The Genuine Resort Living” รวมถึงการพลิกโฉมดีไซน์ บ้านเดี่ยวแบรนด์ “เศรษฐสิริ” และแบรนด์บ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ “นาราสิริ” ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้

ขณะเดียวกันได้รุกตามเป้าหมาย “Net Zero” พันธกิจสีเขียว เดินหน้าติดตั้ง “Solar Roof” ในบ้านเดี่ยวแสนสิริทุกหลัง ทุกโครงการใหม่ ในทุกระดับราคา 100% ในปีนี้ รวม 1,825 หลัง แบ่งเป็น บ้านเดี่ยวระดับราคาต่ำกว่า 8 ล้านบาท เช่น สราญสิริ อณาสิริ คณาสิริ ฯลฯ จะติด Solar Roof ขนาด 1.38 kWp รวมจำนวน 1,300 หลัง และบ้านเดี่ยวระดับราคา 8 ล้านบาทขึ้นไป เช่น เศรษฐสิริ บุราสิริ เดมี่ บูก้าน นาราสิริ ฯลฯ จะติด Solar Roof ขนาด 1.84 kWp รวมจำนวนทั้งสิ้น 525 หลัง

พร้อมวางเป้าหมายให้บ้านเดี่ยวแสนสิริ 6,000 หลัง ติด Solar Roof 100% ใน 3 ปี ซึ่งจะช่วยลูกบ้านประหยัดไฟ 12,750 บาทต่อหลังต่อปี โดยในระยะเวลา 25 ปี จะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าให้ลูกบ้านทุกหลังรวมกันได้ถึง 1,600 ล้านบาท ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศได้ 8,000 ตัน เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 535,000 ต้น หรือปลูกป่า 2,673 ไร่

นอกจากนี้ ยังได้เดินหน้าติดตั้ง “EV Charger” ในโครงการบ้านเดี่ยวระดับบน ระดับราคาตั้งแต่ 8 ล้านบาทที่เป็นโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในปีนี้ จะต้องมีการติด EV Charger ในบ้านทุกหลังให้ได้ 100% โดยมีแผนติดเครื่องชาร์จในบ้านเดี่ยว 1,860 หลัง ภายใน 3 ปีนี้ ซึ่งจะช่วยให้ลูกบ้านแสนสิริประหยัดค่าน้ำมันรวมกว่า 150 ล้านบาทต่อปี ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศได้กว่า 20,000 ตัน เทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 1,300,000 ต้นต่อปี หรือปลูกป่า 6,500 ไร่

ทั้งนี้ จากแผนการรุกการเปิดตัวโครงการใหม่ที่ตอบรับทุกความต้องการ รวมถึงกลยุทธ์ที่มุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าในกลุ่มเรียลดีมานต์ และการให้คำปรึกษาร่วมกับวางแผนในการขอสินเชื่อธนาคารของลูกค้า อาณัติจึงเชื่อมั่นว่าแสนสิริจะสามารถสร้างยอดขายและยอดโอนโครงการแนวราบได้ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน