เอสซีจี เผยผลประกอบการ Q1/2565 ยังคงแข็งแกร่ง รับมือต้นทุนพลังงาน-วัตถุดิบพุ่งจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน พร้อมชู 4 กลยุทธ์สร้างภูมิธุรกิจ ‘รุกไว – ใช้นวัตกรรม - ไปตลาดโลก - เร่ง ESG’ ล่าสุด SCGC ยื่น Filing ดันโครงการปิโตรเวียดนาม (LSP) พร้อมดำเนินการเชิงพาณิชย์ครึ่งแรกปี 66 และผนึกกำลัง ‘ซีพลาสต์’ (Sirplaste) โปรตุเกส เพิ่มกำลังผลิตพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง จับมือไมโครซอฟท์ประยุกต์เทคโนโลยีระดับโลก
รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า “งบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจี Q1/2565 มีรายได้จากการขาย 152,494 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อน จากยอดขายที่สูงขึ้นของทุกกลุ่มธุรกิจ และมีกำไรสำหรับงวด 8,844 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ส่วนใหญ่มาจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมของธุรกิจอื่น (ธุรกิจเครื่องจักรกลการเกษตร) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 25% จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของทุกกลุ่มธุรกิจ สาเหตุหลักจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาตลาด และกำไรสำหรับงวดลดลง 41% สาเหตุหลักจากต้นทุนวัตถุดิบของธุรกิจเคมิคอลส์ปรับตัวสูงขึ้นใน Q1/2565 ประกอบกับในช่วงต้นปี 2564 อุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีผลประกอบการที่ดีกว่าปกติ สาเหตุจากวิกฤติฤดูหนาวที่รุนแรงในสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลให้อุปทานมีอยู่อย่างจำกัด
ใน Q1/2565 เอสซีจีมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services : HVA) 51,388 ล้านบาท คิดเป็น 34% ของรายได้จากการขายรวม ทั้งนี้ ยังมีสัดส่วนของการพัฒนาสินค้าใหม่ (New Products Development : NPD) และ Service Solution คิดเป็น 17%, 5% ของรายได้จากการขายรวม
นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทยใน Q1/2565 ทั้งสิ้น 66,541 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 44% ของรายได้จากการขายรวม สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 มีมูลค่า 889,540 ล้านบาท ทั้งนี้ 45% เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน
ผลการดำเนินงาน Q1/2565 แยกตามรายธุรกิจ ดังนี้
ธุรกิจเคมิคอลส์ หรือ SCGC (เอสซีจีซี) มีรายได้จากการขาย 69,162 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาขายสินค้าที่สูงขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 3,588 ล้านบาท ลดลง 20% จากไตรมาสก่อน และลดลง 59% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น และในช่วงต้นปี 2564 อุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีผลประกอบการที่ดีกว่าปกติ สาเหตุจากวิกฤตฤดูหนาวที่รุนแรงในสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลให้อุปทานมีอยู่อย่างจำกัด
ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขาย 50,890 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการสินค้าในภูมิภาคและสินค้ากลุ่มกระเบื้องเซรามิกเพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 2,308 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67% จากไตรมาสก่อน ขณะที่ลดลง 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น
ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ หรือ SCGP มีรายได้จากการขาย 36,634 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการรวมยอดขายของ Duy Tan, Intan Group และ Deltalab และการเติบโตของสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (Integrated Packaging Business) ในกลุ่มสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค การส่งออกอาหารปรุงสำเร็จพร้อมรับประทาน อาหารแช่แข็ง และอาหารสัตว์เลี้ยง อีกทั้งปริมาณความต้องการและราคาของเยื่อกระดาษที่เพิ่มขึ้นจากความกังวลด้านการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,658 ล้านบาท ลดลง 22% จากไตรมาสก่อน จากรายการปรับปรุงประมาณการเงินค่าหุ้นที่คาดว่าจะต้องจ่าย (Earn-Out) ที่ทำให้กำไรสำหรับงวดสูงขึ้นใน Q4/2564 และลดลง 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากต้นทุนด้านวัตถุดิบและพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น
รุ่งโรจน์ กล่าวว่า “เอสซีจี ยังคงแข็งแกร่งทั้งในไทยและต่างประเทศ แม้ต้องเผชิญภาวะต้นทุนสูงขึ้น จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งบริษัทรับมือกับสภาวะดังกล่าว โดย เร่ง 4 กลยุทธ์ รุกไว ลุยตลาดโลก ได้แก่
1) บริหารจัดการธุรกิจเชิงรุก ปรับตัวไวพร้อมความยืดหยุ่น ปิดความเสี่ยงจากต้นทุนพลังงาน-วัตถุดิบพุ่งสูง และความไม่แน่นอนที่อาจยาวต่อเนื่องใน 3-6 เดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน รวมทั้งสถานการณ์โควิด 19 ด้วยการติดตามราคาพลังงานต่อเนื่องและเพิ่มการใช้พลังงานทางเลือกเพื่อลดต้นทุน โดยไตรมาสที่ 1 ปี 2565 เอสซีจี มีสัดส่วนการใช้พลังงานชีวมวล (Biomass) จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและเชื้อเพลิงจากขยะ RDF เท่ากับร้อยละ 16.4 โดยมีการใช้พลังงานชีวมวลสำหรับการผลิตซีเมนต์ในประเทศไทยอยู่ที่ร้อยละ 30.4, จัดการปริมาณสินค้าคงคลัง (Inventory) ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ความต้องการ, ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและบริหารห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) เช่น SCGC ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) บริหารพลังงานในการผลิต ลดการใช้พลังงาน และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยวิเคราะห์ราคาต้นทุนและโอกาสในการซื้อ เพื่อจัดหาวัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพ เหมาะสมตามสถานการณ์ตลาด ทั้งยัง ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อพร้อมปรับตัวได้ไว
2) ส่งมอบนวัตกรรมรับเทรนด์ทันท่วงที คว้าโอกาสการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากการเปิดประเทศ ผ่านนวัตกรรม สินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) เพื่อรุกตลาดไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่ที่ดี เช่น นวัตกรรมเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง “เซอร์คูลาร์ พีพี (Circular PP)” จากเทคโนโลยี Advanced Recycling มีคุณสมบัติเทียบเท่าเม็ดพลาสติกใหม่ เหมาะสำหรับบรรจุภัณฑ์อาหารเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ‘SCG Solar Roof ระบบ Hybrid’ ระบบหลังคาโซลาร์ เทคโนโลยีระบบไฮบริด มีแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานไฟฟ้าให้สามารถใช้ไฟได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ช่วยประหยัดสูงสุดถึง 60% “SCG Bi-ion” ระบบไอออนกำจัดเชื้อโรคในอากาศ กำจัดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย สูงถึง 99% รวมถึงช่วยลดฝุ่น PM 2.5, ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้านการก่อสร้าง อาทิ ‘CPAC BIM’ เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการออกแบบก่อสร้างแม่นยำ ลดการสูญเสียทรัพยากรและคุ้มค่าการลงทุน ‘CPAC Low Rise Building Solution’ นวัตกรรมการก่อสร้างด้วยคอนกรีตสำเร็จรูป ระบบพรีแคส ติดตั้งเร็ว แม่นยำ ไม่เกิดของเหลือที่หน้างานก่อสร้าง นอกจากนี้ ยังมุ่งขยายโซลูชันบรรจุภัณฑ์ให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภค เช่น บรรจุภัณฑ์อาหารที่มีดีไซน์หลากหลาย และบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้ากลุ่มอุปโภคบริโภค
3) เดินหน้าลงทุนรับโอกาสตลาดโลกโต
4) เร่ง ESG (Environmental, Social, Governance) สร้างภูมิคุ้มกันทางธุรกิจ เพื่อการเติบโตระยะยาว ด้วยแนวทาง ESG 4 Plus (มุ่ง Net Zero – Go Green – Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ ภายใต้ความเป็นธรรม โปร่งใส) โดยเอสซีจีเดินหน้าตามแผนงาน เพื่อบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 และลดลงอย่างน้อย 20% ในปี 2573 (จากปีฐาน 2563) ตลอดจนมุ่งนำเสนอนวัตกรรมรักษ์โลก สร้างการมีส่วนร่วมดูแลสิ่งแวดล้อม โดยสินค้าฉลาก SCG Green Choice มียอดขายในไตรมาสแรกของปี 2565 เท่ากับ 77,214 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากไตรมาสก่อน คิดเป็น 51% ของยอดขายรวม และผลักดัน SCG Cleanergy ผู้ให้บริการพลังงานสะอาดด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ทันสมัย ตั้งแต่การขออนุญาต การติดตั้ง ดำเนินการ และบำรุงรักษา ตลอดจนเชื่อมต่อการซื้อขายกับการไฟฟ้า พร้อมทั้งการซื้อขายไฟฟ้าบนแพลตฟอร์มเสมือนจริง (Virtual Trading Platform) เพื่อเพิ่มศักยภาพการใช้พลังงานทางเลือกในวงกว้าง
ทั้งนี้ เอสซีจี ห่วงใยในสถานการณ์เศรษฐกิจที่ส่งผลต่อสังคม จึงได้เร่งพัฒนาทักษะอาชีพที่ตลาดต้องการ เพื่อสร้างรายได้มั่นคงให้ชุมชนและผู้ว่างงาน ซึ่งมีผู้เข้าร่วมโครงการในปี 2564 กว่า 3,000 คน และขยายผลในไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา จำนวน 1,500 คน จากโครงการพลังชุมชน การสอนแปรรูปผลิตภัณฑ์ การขายออนไลน์และออฟไลน์ และคิวช่าง แพลตฟอร์มรวมช่างออนไลน์ ซึ่งร่วมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงานในการอบรมทักษะ ช่วยสร้างรายได้ให้ช่างรายย่อยกว่า 40 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน เอสซีจี มุ่งดำเนินงานอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม โดย SCGP ได้รับการรับรองเข้าร่วมแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย ของ Thai Private Sector Collective Action Against Corruption (CAC)
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกยังผันผวนต่อเนื่อง รุ่งโรจน์ ย้ำปิดท้ายว่า “การติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด คาดการณ์สิ่งที่อาจเกิดขึ้นอย่างทันท่วงที และเรียนรู้ปรับตัวไวจะเป็นทางรอดให้ธุรกิจสามารถไปต่อได้ท่ามกลางวิกฤต สำหรับเอสซีจีได้เตรียมพร้อมรับมือทั้งระยะสั้น โดยการบริหารความเสี่ยงเชิงรุก และระยะยาวในการทรานส์ฟอร์มธุรกิจ ตามกลยุทธ์ ESG (Environmental, Social, Governance)”