กกร. ยังเชื่อ ศก.ไทยขยายตัวในกรอบเดิม 2.5 - 4% เสนอภาครัฐดูแลศก.จริงจัง เพื่อประคองภาคธุรกิจ
13 May 2022

 

ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมฯ 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนเมษายน 2565 ยังเชื่อว่า ท่ามกลางความท้าทายที่รุมเร้าประเทศไทย แต่เศรษฐกิจไทยยังคงไปได้ และยังคงขยายตัวในกรอบเดิม 2.5 - 4% หากการปรับค่าแรงอยู่ในระดับที่เหมาะสม พร้อมเสนอให้ภาครัฐเข้ามาดูแลเรื่องเศรษฐกิจอย่างจริงจัง เพื่อช่วยประคับประคองภาคธุรกิจผ่าน 2 มาตรการคือ มาตรการดูแลต้นทุนการผลิตและสภาพคล่อง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

 

 

ทั้งนี้ การประชุมคณะกรรมการร่วมฯ 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนเมษายน 2565 เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2565 นำโดย คุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) คุณสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าฯ และ คุณกอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย ได้ระบุถึงสถานการณ์ ความท้าทายและข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ เพื่อให้ช่วยประคับประคองธุรกิจให้สามารถก้าวข้ามความท้าทายนี้ไปด้วยกัน  

 

ความท้าทายที่ยังคงอยู่

1) แนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัว

ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจโลกมีความอ่อนไหวจากปัจจัยเสี่ยงรอบด้านถือเป็นความท้าทายต่อการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลเนื่องจาก สงครามรัสเซียและยูเครนที่ยังยืดเยื้อ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และเงินเฟ้อในระดับสูง และการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น โดยล่าสุด ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED (เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ซึ่งนับเป็นการปรับขึ้นมากสุดในคราวเดียวในรอบ 22 ปี และจะปรับขึ้นต่อเนื่องไปถึง 2.5-2.75% ณ สิ้นปี

 

2) มาตรการ Zero Covid Policy ของจีน

จากมาตรการดังกล่าวทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหดตัว และกดดันให้ปัญหาโซ่อุปทานยิ่งตึงตัวขึ้น ทำให้ IMF ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2022 ลดลงมากจาก 4.4% เหลือ 3.6% ซึ่งจะส่งผลต่อความต้องการสินค้าส่งออกของไทย ขณะที่ปัจจัยด้านราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นก็จะมีส่วนทำให้มูลค่าการส่งออกยังขยายตัวได้ในกรอบประมาณการเดิม

 

 

3) ต้นทุนพลังงานกับค่าแรง

หากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลและค่าแรงขั้นต่ำปรับเพิ่มขึ้นมากจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อภาวะเงินเฟ้อและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อไทยที่พุ่งสูงขึ้นเริ่มบั่นทอนความเชื่อมั่นผู้บริโภคและนักลงทุน และมีแนวโน้มส่งต่อลบต่อการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการในธุรกิจที่ยังเปราะบาง อาทิ โรงแรม ค้าปลีกสะท้อนว่า การเพิ่มขึ้นของต้นทุนมีผลกระทบมากและส่วนใหญ่อาจจำเป็นต้องปรับราคาสินค้า ทั้งนี้ การปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลและค่าแรงขั้นต่ำในระยะข้างหน้าซึ่งจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อขึ้นไปสู่ระดับ 5% จึงต้องทำด้วยความระมัดระวังและอยู่ในระดับที่เหมาะสม

 

ยังฝากความหวังที่ท่องเที่ยว

ท่ามกลางความท้าทายดังกล่าวมีเพียงการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะมีทิศทางฟื้นตัวดีขึ้น จากการเปิดประเทศเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นชัดเจน พร้อมทั้งคาดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้มีแนวโน้มอยู่ที่ประมาณ  6 ล้านคน เพิ่มขึ้นกว่าประมาณการเดิม

 

 

สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวดีมาอยู่ที่ 70-80% ของจำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2562 เนื่องจากนักท่องเที่ยวในไทยปรับตัวอยู่กับโควิด-19 บ้างแล้ว อีกทั้งได้อานิสงส์จากมาตรการภาครัฐ คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มอยู่ที่ 119 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้นกว่าประมาณการเดิมเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญความเสี่ยงรอบด้าน โดยเฉพาะด้านเงินเฟ้อและต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้น แม้แนวโน้มการท่องเที่ยวจะดีขึ้นกว่าประมาณการเดิม ความเสี่ยงในระดับสูงทำให้ที่ประชุม กกร. คงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 จะขยายตัวได้ในกรอบ 2.5 - 4% ในกรอบเดิม หากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอยู่ในระดับที่เหมาะสม และคงประมาณการการส่งออกในปี 2565 ว่าจะยังขยายตัวในกรอบ 3 - 5% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2565 ว่าจะขยายตัวในกรอบ 3.5 - 5.5%

 

 

ข้อเสนอแนะจาก กกร. ถึงภาครัฐ

จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงมีความเสี่ยงจากสถานการณ์ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเงินเฟ้อ  และสถานการณ์ความขัดแย้งจากยูเครน-รัสเซีย กกร.จึงขอเสนอให้ภาครัฐเข้ามาดูแลเรื่องเศรษฐกิจอย่างจริงจัง เพื่อช่วยประคับประคองภาคธุรกิจ รักษาความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะ SMEs และประชาชน ในช่วงไตรมาส 2 -3 ก่อนที่เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เต็มที่มากขึ้นในช่วงปลายปี จากทั้งภาระค่าครองชีพ ต้นทุนการผลิต/การขนส่ง และราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น โดยแบ่งมาตรการออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้

 

มาตรการดูแลต้นทุนการผลิตและสภาพคล่อง

  • ตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 35 บาท/ลิตร เป็นเวลา 3 เดือน
  • ขยายเวลาการลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 3 บาท/ลิตรเป็นระยะเวลา 3 เดือน
  • ลดต้นทุนวัตถุดิบนำเข้า เช่น ลดภาษีนำเข้าสินค้าวัตถุดิบ, เพิ่มโควต้านำเข้า
  • เสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ เช่น เร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม มาตรการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ

 

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

  • กระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ เช่น โครงการคนละครึ่งเฟส 5, ขยายจำนวนสิทธิ์โครงการเราเที่ยวด้วยกัน
  • ผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจเต็มรูปแบบ รวมถึงธุรกิจสถานบันเทิง 
  • การลดภาระให้กับผู้ประกอบการ เช่น ภาษีที่ดินและ สิ่งปลูกสร้างไม่ควรคิดเบี้ยปรับเงินเพิ่มสำหรับคนที่ชำระภาษีล่าช้า
  • การเปิดประเทศโดยสมบูรณ์ การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ การจัดกิจกรรมกระตุ้นการท่องเที่ยว และการดูแลค่าเงินบาทให้เหมาะสม
  • การพิจารณาปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ภาครัฐควรคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ ความสามารถของภาคธุรกิจ ประสิทธิภาพแรงงาน ชในแต่ละจังหวัดนั้นๆ ซึ่งประเทศไทยอยู่ในช่วงฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด โดยหากการปรับอัตราค่าแรงที่สูงเกินขีดความสามารถของผู้ประกอบการก็จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมผู้ประกอบการด้านต้นทุนการผลิตให้เพิ่มพุ่งสูงขึ้น จนส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าได้ กกร.จึงขอเสนอให้ใช้กลไกของคณะกรรมการค่าจ้าง โดยมีคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด (คณะกรรมการไตรภาคี) ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานทำหน้าที่พิจารณาปรับค่าจ้างขั้นต่ำตามความเหมาะสมของเศรษฐกิจในพื้นที่แต่ละจังหวัด รวมทั้งนำกลไกการปรับขึ้นค่าแรงในลักษณะตามทักษะการทำงาน Pay by Skill และมาตรฐานฝีมือแรงงานมาประกอบการพิจารณาในการปรับขึ้นค่าแรงงาน

 

ขอเวลาปรับตัวเรื่องเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

กกร. ตระหนักถึงความสำคัญของการบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯ แต่จากสถานการณ์ปัจจุบัน ที่เศรษฐกิจโดยรวมได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 ทำให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องทุ่มเททรัพยากรเพื่อฟื้นฟูธุรกิจ และปรับตัวให้อยู่รอด อีกทั้งปัจจุบันกฎหมายลำดับรองยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ และควรมีเวลาให้ทุกภาคส่วนพิจารณาทำความเช้าใจพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯ นี้ด้วย กกร.จึงเสนอให้ภาคธุรกิจมีระยะเวลาให้ผู้ประกอบการปรับตัวตามกฎหมายลูก และชะลอบทลงโทษออกไปอีก 3 ปี

 

[อ่าน 1,833]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
Mercer ชี้ 98% องค์กรไทยขาดแคลนทักษะ แนะเร่งพัฒนาบุคลากรรองรับยุค AI เตรียมเปิดข้อมูลเวที Thailand HR Conference 2025
TMAN ผนึก BERTRAM เปิดแผน "Distributor Synergy" รุกตลาดผลิตภัณฑ์สุขภาพ ตั้งเป้าโต 10-15%ในปี 2568
พลิกอีสานด้วยพันธมิตรสร้างสรรค์ ชวนมอง The Next Isan แบบ Glocal ในงาน Isan Creative Festival 2025
พรีโม ผนึก 3 พันธมิตรบัตรเครดิตชั้นนำ มอบสิทธิพิเศษซ่อมห้องชุด ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 6 เดือน*
“โค้ก” จับมือ 14 พันธมิตร เดินหน้าแคมเปญ “โค้ก” ชวนแยก แลกลุ้นโชค กับ Trash Lucky ปีที่ 5
SCB 10X จับมือ AI Singapore ดันวงการ AI จัดเวทีแข่งขันระดับภูมิภาค Pan-Southeast Asia AI Developer Challenge 2025
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved