ไรมอน แลนด์ (RML) ผู้นำวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับ Luxury และ Super Luxury เผยโฉม ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ (The Estelle Phrom Phong) มูลค่าโครงการ 5,200 ล้านบาท ใจกลางถนนสุขุมวิท ภายใต้แนวคิด The Prime Address, The Ultimate Lifestyle ‘ที่สุดของทำเล’ ใกล้ BTS พร้อมพงษ์ และดิ เอ็มโพเรียม เพียง 2 นาที ‘ที่สุดของไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยเฉพาะชีวิตที่เหนือระดับ’ เผยมียอดขายจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติเกือบ 40% แล้ว คาดโควตาต่างชาติ (Foreign Quota) จะปิดการขายเต็มแน่นอน เตรียมโอนส่งมอบห้องให้ลูกค้าเข้าอยู่อาศัยตั้งแต่ Q4/2565 เป็นต้นไป มั่นใจจะสามารถโอนได้ตามเป้ากว่า 2,000 ล้านบาท

เผยโฉม ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’

ล่าสุด บมจ. ไรมอน แลนด์  (RML) เปิดตัวโครงการ ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ (The Estelle Phrom Phong) คอนโดมิเนียมระดับ Ultra-Luxury ความสูง 37 ชั้น จำนวน 146 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 16.8 ล้านบาท ใกล้ BTS พร้อมพงษ์ และดิเอ็มโพเรียม เพียง 2 นาที มูลค่าโครงการ 5,200 ล้านบาท

กรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไรมอน แลนด์  (RML) กล่าวถึงโครงการใหม่ล่าสุดว่า

“โครงการ ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’  เป็นโครงการร่วมทุนระหว่าง ‘ไรมอน แลนด์’ และ ‘โตเกียว ทาเทโมโนะ’ ด้วยสัดส่วนการลงทุน  51:49 เป็นคอนโดมิเนียม Ultra-Luxury บนทำเลศักยภาพ ซอยสุขุมวิท 26 ซึ่งเป็นแหล่งรวมไลฟ์สไตล์และที่พักอาศัยในระดับพรีเมียมของกรุงเทพฯ อีกทั้งเป็นทำเลยอดนิยมของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ จึงทำให้ตั้งแต่เปิดตัวโครงการมาก็ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ปัจจุบันมียอดขายไปแล้วกว่า 70% โดยเป็นยอดขายจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติประมาณ 40% ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน สิงคโปร์ และญี่ปุ่น และมั่นใจว่าจะปิดการขายกลุ่มลูกค้าต่างชาติได้เต็มโควต้าแน่นอน ซึ่งจะเห็นได้จากความสำเร็จในยอดขายกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่ผ่านมาหลายโครงการของไรมอน แลนด์ อาทิ โครงการ 185 ราชดำริ, เดอะ ริเวอร์, เดอะ ดิโพลแมท 39, เดอะ ลอฟต์ สีลม เป็นต้น”

“ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ ออกแบบภายใต้แนวคิดที่ให้ความสำคัญกับ ความปลอดภัย ชุมชนและความเป็นตัวตนของผู้อยู่อาศัย (Sense of Me) เนื่องจากโครงการเน้นความเป็นส่วนตัวสูง เพียง 8 ยูนิตต่อชั้น แบบห้องมีให้เลือกหลากหลายตั้งแต่ 1-4 ห้องนอน พร้อมห้องพิเศษที่มีลิฟต์ส่วนตัว (Private Lift) ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยที่มีเด็กและผู้สูงอายุ นอกจากนี้ จุดเด่นที่สำคัญ คือ พาร์ทเนอร์ผู้ร่วมทุนที่มีความเชี่ยวชาญอย่าง ‘โตเกียว ทาเทโมโนะ’  บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีมาตรฐานการทำงานตามแบบฉบับของตนเอง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้อยู่อาศัย ซึ่งใกล้จะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้ชมโครงการและห้องตัวอย่างสุดเอ็กซ์คลูซีฟได้แล้ววันนี้ เตรียมให้ลูกบ้านเข้าตรวจรับมอบห้องเพื่อดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ต่อไป พร้อมเข้าอยู่ตั้งแต่ไตรมาส 4 ในปีนี้ โดยมั่นใจว่าจะสามารถโอนได้ตามเป้าที่วางไว้ที่ 2,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกระดับครบครัน ภายใต้แนวคิด The Prime Address, The Ultimate Lifestyle อาทิ สวนและล็อบบี้ที่ตกแต่งสไตล์ Luxury Zen, สระว่ายน้ำปราศจากคลอรีน,  ห้องออนเซ็นแยกชาย-หญิง (Japanese Onsen), สระน้ำลอยตัว (Salt-Water Floatation Pool), ฟิตเนสพร้อมอุปกรณ์ออกกำลังกายชั้นนำจากแบรนด์ Techno Gym, บริการคอนเซียร์จ 24 ชั่วโมง (Concierge 24 Hrs.), ที่จอดรถที่ออกแบบสำหรับซูเปอร์คาร์โดยเฉพาะ. เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส คลาส ลีมูซีน (Mercedes Benz S-Class Limousine Service), ห้องพักรับรองแขกผู้มาเยี่ยมเยือน (Dedicated Guest Room), และโซนสำหรับสัตว์เลี้ยง (Pet-Friendly) รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ดิ เอ็ม ดิสทริค, โรงเรียนนานาชาติ, โรงพยาบาลชั้นนำ, โรงแรมระดับ 5 ดาว อีกทั้งโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ทั้งภายนอกและภายในจากบริษัทที่ปรึกษาด้านสถาปัตยกรรมชั้นนำระดับโลก SCDA”

สัญญาณบวกเริ่มกลับ

ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 3 /2565  กรณ์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ปีนี้ส่งสัญญาณฟื้นตัวจากปัจจัยบวกในหลาย ๆ ด้านที่มีทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งช่วยกระตุ้นกำลังซื้ออสังหาฯ โดยรวมให้กลับมา โดยเฉพาะกำลังซื้อของชาวต่างชาติที่กลับเข้ามาจากการเปิดประเทศ  ขณะที่ภาพรวมในส่วนของอุปทานตลาดคอนโดมิเนียมเกรด A นั้นมีในย่านย่านสุขุมวิทมากที่สุดราว 48% ขณะที่ราคาพื้นที่ต่อตารางเมตรในโซนพร้อมพงษ์ถือเป็นย่านที่มีราคาสูงที่สุด ราคาเฉลี่ยประมาณ 3.5-3.7 แสนบาทต่อตารางเมตร ขณะที่รองลงมาคือย่านอโศก ราคาเฉลี่ยประมาณ 3 แสนบาทต่อตารางเมตร

ที่ผ่านมา โครงการ ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ ได้ปรับราคาขายสามรอบแล้ว โดยปรับราคาขึ้น 5%, 8% ตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตาม ราคาที่โครงการเสนอขายนี้ยังถือเป็นราคาที่คุ้มค่า หากเทียบกับราคาปล่อยเช่าของผู้อยู่อาศัยในโครงการนี้สำหรับห้องนอน 100 ตารางเมตร ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.2 แสนบาท/เดือน

ทั้งนี้ กรณ์ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “เทรนด์ของผู้อยู่อาศัยในยุคหลังโควิด-19 นั้นต้องการชีวิตที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น และต้องการพื้นที่อยู่อาศัยที่กว้างขวางมากขึ้น ซึ่งในโครงการ ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ ก็มีตัวอย่างของการรวมห้อง 3 ยูนิตเข้าเป็นห้องเดียวกัน มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ส่วนสำหรับลูกค้าของบริษัทฯ เป็นกลุ่ม Real Demand โดยต้องการซื้อเพื่ออยู่เองกว่า 60% จากยอดขายกว่า 70% ของบริษัทฯ ขณะที่ฐานอายุของผู้ซื้อของไรมอนแลนด์ก็ยังเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงกลุ่มเดิม กับกลุ่มผู้ซื้อคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จ (Young Achiever) นอกจากนี้ กลุ่มลูกค้าต่างชาติ นอกจากอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่นแล้วก็ยังมีลูกค้าจากประเทศเพื่อนบ้านด้วย ขณะที่ลูกค้าจากจีนช่วงนี้ยังไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ แต่อย่างไรก็ตาม กล่าวได้ว่า ขณะนี้ตลาดอสังหาฯ มีสัญญาณบวกกลับมาแล้ว”

แผนเดินทัพ

สำหรับแผนการดำเนินงานต่อจากนี้ กรณ์เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงใช้กลยุทธ์ Branded Residence เพื่อดำเนินโครงการต่อไปมในสัดส่วนประมาณ 80%  เนื่องจากพาร์ทเนอร์ที่มาร่วมงานนั้นเป็น Branded Corporate ที่มีมาตรฐานการทำงานชั้นสูง อีกทั้งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั่วโลก ซึ่งจะสามารถสร้างความมั่นใจและเทียบเคียงมาตรฐานที่อยู่อาศัยได้ตามผลงานของพาร์ทเนอร์นั้นๆ ได้ อีกทั้งมีผลต่อการตัดสินใจซื้อด้วย นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีมีโครงการ โรสวูด เรสซิเดนซ์ กมลา (Rosewood Residences Kamala) ที่ไรมอนแลนด์ได้ร่วมกับ Rosewood Hotels & Resorts® และได้เปิดตัว โครงการที่อยู่อาศัยแบรนด์แรกในอ่าวกมลา จ.ภูเก็ต ซึ่งตั้งอยู่ในย่านหรูที่เต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหาร วิลล่าหรูแบบสแตนด์อโลน 14 หลังโดยมีกำหนดจะเปิดตัวในปลายปีนี้หรือต้นปี 66 ส่วนโครงการคอนโดมิเนียม บริษัทฯ มีแผนจะเปิดตัวเพิ่มเติมในช่วงไตรมาส1/2566

“นับจากนี้ ไรมอนแลนด์จะเดินหน้าเปิดตัวโครงการ เพื่อสร้างการรับรู้รายได้ของบริษัทอย่างต่อเนื่อง” กรณ์กล่าวในตอนท้าย