เฮงเค็ล เผยแผนยุทธศาสตร์สู่ปีที่ 51 ของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ด้วยการมุ่งเตรียมความพร้อมใน 3 มิติทั้ง ‘การเร่งสร้างนวัตกรรม - การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล - การดำเนินธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน’ ตอกย้ำการเป็นแบรนด์ผู้นำที่พันธมิตรทางธุรกิจอยากร่วมงาน และเป็นบริษัทที่คนเก่งๆ อยากทำงานด้วย
ในวาระที่ เฮงเค็ล ประเทศไทย ครบรอบ 50 ปี ของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยจากจุดเริ่มต้นที่เป็นสำนักงานแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับธุรกิจเคมีภัณฑ์และสินค้าอุปโภคบริโภคจากเยอรมนี ด้วยพนักงานเพียงคนเดียว และเติบโตขึ้นเป็นลำดับจนมีพนักงาน 520 คนในสถานประกอบการ 4 แห่ง ได้แก่ สำนักงานในกรุงเทพฯ โรงงานที่บางปู โรงงานที่ศรีราชา และโรงงานกาวอัจฉริยะในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกที่บางปะกง และสถานะทางธุรกิจในวันนี้ของ ‘เฮงเค็ล’ ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดเทคโนโลยีกาว และผลิตภัณฑ์ดูแลความงามในประเทศไทย
เติมพอร์ต Henkel Consumer Brands
แอนเดรียนโต้ จายาเปอร์นา ประธาน เฮงเค็ล ประเทศไทย กล่าวถึง กลุ่มสินค้าที่ เฮงเค็ล ลงทุน เพื่อเติมพอร์ตโฟลิโอของตนเองในอนาคตว่า
“จากการที่ เฮงเค็ล เข้าซื้อธุรกิจ Hair Professional ของ Shiseido ถือเป็นการต่อยอดความสำเร็จของ Schwarzkopf Professional ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมสีผม และเทรนด์ระดับโลก และเป็น 1 ใน 3 ซัพพลายเออร์ชั้นนำของโลก สำหรับผลิตภัณฑ์ Professional ดังนั้นการซื้อธุรกิจดังกล่าว จึงเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพและความเข้าใจในตลาดความงามของญี่ปุ่น ทั้งผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม - ดูแลหนังศีรษะ ผลิตภัณฑ์ป้องกันผมหลุดร่วง ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม และน้ำยาดัดผม ทั้งนี้ธุรกิจ Hair Professional ของ Shiseido จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยธุรกิจ Henkel Consumer Brands ในอนาคต ซึ่งจัดตั้งขึ้นหลังจากที่มีการรวมระหว่างหน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์ซักล้าง และผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนกับผลิตภัณฑ์ดูแลความงามเข้าด้วยกันภายในต้นปี 2566 และเป็นแพลตฟอร์มใหม่ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมสินค้าหลายหมวดหมู่เข้าด้วยกัน”
เร่งสร้างนวัตกรรมสู่ตลาด
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในวาระครบรอบ 50 ปี ก้าวสู่ปีที่ 51ของเฮงเค็ลนั้น แอนเดรียนโต้ กล่าวว่า
“เฮงเค็ลมุ่งมั่นที่จะเร่งสร้างนวัตกรรมที่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาด ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ด้วยความก้าวหน้าของ e-Mobility และรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญจาก Henkel Adhesive Technologies กำลังทำงานร่วมกับ OEM ในธุรกิจยานยนต์ ซัพพลายเออร์ และพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อพัฒนาน้ำหนักโครงสร้างรถยนต์ให้มีน้ำหนักเบา และการพัฒนาโซลูชั่นที่ยั่งยืน เพื่อช่วยลดการใช้พลังงาน และปรับปรุงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของรถยนต์ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ของเรา สามารถนำมาใช้เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ให้ดีขึ้น ปลอดภัยขึ้น และคุ้มค่ายิ่งขึ้น
ในส่วนอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เฮงเค็ลได้พัฒนากาวที่ปลอดภัยต่อการสัมผัสกับอาหารและบรรจุภัณฑ์ เช่น หลอดกระดาษ บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากกระดาษ รวมถึงบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุเชิงเดี่ยว ซึ่งนำกลับมารีไซเคิลได้ง่ายกว่าบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุอื่นๆ อีกหลายประเภท
สำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ที่นับวันจะมีความต้องการที่เพิ่มขึ้นสําหรับการดูแลหลังทําผม ในปีนี้ เราจึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรร้านทําผม 6 รายในประเทศไทย เพื่อเปิดตัวแนวคิด Fibre Clinix Mixology Bar ซึ่งเป็นทรีทเม้นท์ดูแลเส้นผมระดับมืออาชีพของ Schwarzkopf ผ่านบริการในร้านเสริมสวยแบบเฉพาะบุคคล และโซลูชั่นการดูแลผมที่บ้านแบบผู้เชี่ยวชาญ เทคโนโลยีการซ่อมแซมเส้นผมขั้นสูงของ Schwarzkopf
นอกจากนี้ ในฐานะผู้นำตลาด เฮงเค็ล ยังเสริมความแข็งแกร่งในตลาดผลิตภัณฑ์ฟอกสีผม ด้วยการลงทุนใน Freshlight รวมถึงการแนะนําสีที่เป็นนวัตกรรม เช่น สีเทาหม่น สีบลอนด์ สีน้ำตาล และล่าสุดได้เปิดตัวสินค้าใหม่ Freshlight Super Bleach ครั้งแรกของผลิตภัณฑ์ฟอกสีผมสูตรพรีเมี่ยม ที่สามารถทำเองได้ง่ายๆ ที่บ้าน เพื่อปรับพื้นสีผมของคนไทยให้สว่าง พร้อมครีเอททุกเฉดสีได้ตามความต้องการ”
ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล
เฮงเค็ล ประเทศไทย มุ่งปรับเข้าสู่ดิจิทัล และในฐานะที่เป็นผู้บุกเบิกในการนำอุตสาหกรรม 4.0 มาใช้เป็นรายแรกๆ เรายังคงเสริมสร้างความเป็นเลิศด้านการผลิตอย่างต่อเนื่อง และใช้ประโยชน์จากเครื่องมือทางดิจิทัล เพื่อเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการนำระบบอัตโนมัติ ระบบหุ่นยนต์ และเครื่องสแกนอัจฉริยะมาใช้ในโรงงานกาวอัจฉริยะ นอกจากนี้เฮงเค็ลประเทศไทยได้เห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างมากในการนำข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจ เพิ่มผลผลิต เสริมสร้างความปลอดภัย และความยั่งยืน
“โรงงานกาวของเราที่บางปะกง ประสบความสำเร็จกับแนวคิดโรงงานอัจฉริยะ และเรากำลังมองหาวิธีการที่จะนำเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 มาใช้กับโรงงานอื่นๆ ของเราด้วย” แอนเดรียนโต้ กล่าวต่อไปอีกว่า
“หน่วยธุรกิจเทคโนโลยีกาวและบิวตี้แคร์ ก็กำลังมองหาโอกาสที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมเชิงดิจิทัลกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมและผู้บริโภค โดยการปรับปรุงการมองเห็นบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เช่น Lazada และ Shopee ตลอดจนการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวมถึง Facebook และ TikTok ด้วย”
ทำธุรกิจอย่างยั่งยืน
แอนเดรียนโต้ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เฮงเค็ลยังคงมุ่งมั่นในด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนภายในปี2573 และตั้งเป้าที่จะใช้พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน 100% เฮงเค็ล ประเทศไทย ได้ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาโรงงานที่ชลบุรี และเริ่มเปลี่ยนไปใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียน ขณะที่พยายามลดการใช้น้ำ และพลังงานการผลิตของเสีย และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดและดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของบริษัทฯ ที่มุ่งเป็น ‘ผู้บุกเบิกด้วยใจเพื่อคนรุ่นหลัง’ ดังนั้น เฮงเค็ล จึงทำงานอย่างใกล้ชิดกับลูกค้าและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเอาแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ในการดำเนินงาน การทำผลิตภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ อาทิ การเปลี่ยนกล่องบรรจุภัณฑ์ของ Schwarzkopf และ Syoss จาก ‘กระดาษบริสุทธิ์’ มาเป็น ‘กระดาษรีไซเคิล’ และปรับปรุงฝาพลาสติกของขวดแชมพูและครีมนวด Schwarzkopf Extra Care ให้มีขนาดเล็กลง และมีน้ำหนักน้อยกว่ารุ่นก่อน 43%”
ช่วยเหลือชุมชนช่วงโควิด-19
ขณะเดียวกัน สำหรับมิติทางสังคม เฮงเค็ลยังคงมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งนับตั้งแต่ช่วงปี 2523 เป็นต้นมา เฮงเค็ลประเทศไทยได้มีส่วนสนับสนุนในการสร้างและให้ทุนแก่โรงเรียน 3 แห่งในประเทศ เพื่อมอบโอกาสทางการศึกษาแก่นักเรียนที่ด้อยโอกาส
ด้วยการสนับสนุนจากมูลนิธิการกุศล Fritz Henkel Stiftung เฮงเค็ล ประเทศไทย ได้มอบเงินบริจาคจำนวน 6.4 หมื่นยูโร (ประมาณ 2.3 ล้านบาท)ให้กับมูลนิธิโรงพยาบาลตากสิน เพื่อนำไปใช้สร้างหน่วยอภิบาลการหายใจในโรงพยาบาล
โดยมีการติดตั้งเครื่องช่วยหายใจแรงดันลบและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น สำหรับรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 และยังบริจาคเงินกว่า 1 หมื่นยูโร (ประมาณ 3.95 แสนบาท)ให้กับสภากาชาดไทย เพื่อสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ ปี 2563 และพนักงานของเฮงเค็ลประเทศไทยก็ยังได้บริจาคโลหิตปีละ 2-3 ครั้งอีกด้วย
ก้าวต่อไปของ เฮงเค็ล ประเทศไทย
ในวาระครบรอบ 50 ปี เฮงเค็ล ประเทศไทย ได้เตรียมพร้อมสำหรับอนาคตและรักษาตำแหน่งในฐานะเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ เป็นบริษัทที่พนักงานอยากทำงานด้วยและเป็นที่หมายปองของคนเก่งจากภายนอกองค์กร ได้แก่ การสร้างวัฒนธรรมของการทำงานร่วมกัน, การทำงานเป็นทีม, การเสริมสร้างความหลากหลาย, ความเสมอภาค, การมีส่วนร่วม ตลอดจนการจัดหาโอกาสในการเพิ่มทักษะการทำงาน และสร้างวิถีการทำงานที่ยืดหยุ่น เพื่อสนับสนุนให้พนักงานปรับสมดุลชีวิตการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
แอนเดรียนโต้ กล่าวในตอนท้ายว่า “เราได้เอาชนะอุปสรรคต่างๆ มาตลอด 50 ปีที่ผ่านมา ผมมั่นใจว่า ด้วยผลงานที่ครองตลาด แบรนด์ที่แข็งแกร่ง และด้วยความร่วมมืออย่างใกล้ชิด รวมถึงความไว้วางใจจากพันธมิตรและลูกค้าของเรา เราจะสามารถรักษาแนวทางนี้ไว้ต่อไปในอีก 50 ปี และตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะทิ้งมรดกไว้ให้คนรุ่นหลัง”