ไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บมจ. ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์กว่า 30 ปีได้ฉายภาพรวมเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมาว่า
“ขณะนี้แม้สถานการณ์วิกฤติโควิด-19 จะค่อยๆ คลี่คลายส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกทยอยกลับมาดำเนินได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม โลกต้องเผชิญกับความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นทั่วโลก ซึ่งสูงที่สุดในรอบหลายสิบปีทำให้หลายประเทศต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ทั่วโลก โดยธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ได้ ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายถึง 7 ครั้งมาอยู่ที่ระดับ 4.25%-4.50% ซึ่งเป็นการขึ้นที่เร็วและแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน รวมถึงธนาคารกลางของหลายๆ ประเทศที่ต้องดำเนินนโยบายแบบเดียวกัน เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
สำหรับเศรษฐกิจไทย แม้จะได้รับปัจจัยลบดังกล่าวและยังคงต่อเนื่องถึงปีนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังได้แรงบวกจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวภายหลังการเปิดประเทศช่วงกลางปี การขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนส่วนหนึ่งจากมาตรการกระตุ้นต่างๆ ของภาครัฐ และการส่งออกที่ขยายตัวได้ดีในช่วงครึ่งแรกของปี ก่อนเริ่มชะลอตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนปี 2566 นี้คาดว่า เศรษฐกิจโดยรวมของไทยจะเติบโตราว 3.6 – 4% แม้ว่ากำลังซื้อภายในประเทศยังอ่อนแอ ภาระหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง ท่ามกลางแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของภาระดอกเบี้ย ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ แต่ภาคอสังหาฯ ก็ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐ ลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าธรรมเนียมจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ถึงสิ้นปี 2566 รวมถึงการฟื้นตัวของลูกค้าที่ทำงานในกลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกจำกัดการเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความท้าทายดังกล่าว แต่บริษัทฯ ก็ยังเชื่อมั่นว่า ด้วยยุทธศาสตร์ และความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ จะทำให้ลลิลฯ สามารถขยายตัวได้ และเดินหน้าสู่การเป็น National Property Company พร้อมตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ 10 – 12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000 – 8,000 ล้านบาท ตั้งเป้าขายปีนี้ไว้ที่ 8,600 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดรับรู้รายได้ที่ 6,850 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขยายตัว 10% และสูงกว่าภาพรวมตลาดที่คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ยที่ 3 - 5%”
ด้าน ชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ. ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีการบริหารงานที่คำนึงถึงการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) รวมถึงการมุ่งเน้นไปสู่การเป็นองค์กรกิจิทัล (Digital Organization) อย่างเต็มรูปแบบ ควบคู่กับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง อันเป็นอัตลักษณ์เฉพาะของลลิลฯ ให้เป็นองค์กรที่รู้รอบแบบเจาะลึกมุ่งสู่ ‘องค์กรแห่งการเรียนรู้’ เสริมสร้างศักยภาพให้ทุกคนในองค์กรให้เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ ‘รู้กว้าง คิดไกล อยู่กันด้วยความเข้าใจ’ เพื่อสร้างความแข็งแรงจากภายใน มุ่งสู่การเป็น National Property Company ตามเป้าหมายที่ได้วางร่วมกัน
“สำหรับแผนการตลาด ในปีนี้เราจะใช้กลยุทธ์ที่มุ่งเน้น Customer Centric ผ่านกลยุทธ์ Lifestyle Marketing และ Experience Marketing โดยจัดอีเว้นท์ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ และต่อยอดการทำตลาดผ่านช่องทางดิจิทัลเพิ่มขึ้น เพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโภคได้ตรงกลุ่มและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการทำ Data Analytics พร้อมเน้นเจาะกลุ่ม Real Demand ราคา 2-9 ล้านบาท เน้นทำเลกรุงเทพและปริมณฑลเป็นหลัก โดยพัฒนาทั้งบ้านเดี่ยว ทาวเฮ้าส์ด้วยสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน และมาพร้อม New Design และ Smart Function เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ขณะเดียวกัน บริษัทเป็นรายแรกที่นำความงดงามของสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสที่เรียบหรูมาออกแบบบ้านสไตล์ฝรั่งเศสแบบ French Colonial Style บนทำเลศักยภาพในราคาที่คุ้มค่า และจับต้องได้
ในส่วนของสถานะการเงิน บริษัทฯ มีความแข็งแกร่งอย่างมาก โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.55 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 1.4 – 1.5 เท่า และในปีนี้ บริษัทฯ ได้จัดเตรียมงบเพื่อซื้อที่ดินไว้ประมาณ 1,500 – 1,600 ล้านบาท และพร้อมปรับเพิ่มให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจตามแผนงาน และการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ”
โครงการของลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เน้นการบริหารงานที่คำนึงถึง ESG ที่มุ่งคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลทุกมิติ โดยเฉพาะการสร้างที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ การนำน้ำกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง การออกแบบบ้านเพื่อให้ระบายความร้อนได้ดี และลดการใช้พลังงาน เพิ่มจุดชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) พร้อมทั้งการเพิ่ม Facility ในส่วนกลาง โดยคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของลูกบ้านและรอบๆโครงการอีกด้วย