‘ตัดไม้ ‘แต่ ‘ได้ป่า’ ได้ยังไง สวีเดนโมเดลไปได้ ไทยไปด้วยมั้ย?
24 Mar 2023

 

ถ้าฟังแค่ ‘ตัดไม้ ‘แต่ ‘ได้ป่า’ นั้นคงดูจะเป็น ‘ตรรกะแดกดัน’ หรือ Negative Approach ที่ดูจะเป็นเรื่องเลื่อนลอย แต่ตรรกะเช่นนี้เป็นไปได้และเป็นไปแล้วที่สวีเดนและกลายเป็นความร่วมมือระหว่าง ‘สถานเอกอัครราชทูตไทย-สวีเดน’ กับ ‘เอสซีจี และพันธมิตร’ เพื่อร่วมผลักดันโมเดลจัดการป่ายั่งยืนระดับโลกจากสวีเดน ประเทศแห่งการส่งออกไม้เศรษฐกิจสูงเป็นอันดับ 3 ของโลกและยังครองตำแหน่งผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมเช่นกัน ผ่าน ‘เวทีความร่วมมือด้านความยั่งยืนไทย-สวีเดน ปี 2566’  

 

 

วัตถุประสงค์ของความร่วมมือครั้งนี้เพื่อเผยแพร่นวัตกรรมจัดการป่าสร้างความสมดุลระหว่างเป้าหมายการอนุรักษ์ธรรมชาติและเศรษฐกิจ เช่น การพลิกฟื้นป่าที่เสื่อมโทรมทั่วประเทศที่เหลือเพียง 25% เป็น 75% ได้สำเร็จ รวมถึงการปลูกป่าไม้เชิงพาณิชย์ ส่งเสริมเศรษฐกิจเติบโต เช่น ไม้แปรรูปสำหรับภาคก่อสร้างขนาดใหญ่ ไม้แปรรูปสำหรับเฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ โดยมุ่งหวังจุดประกายให้ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม นำโมเดลนี้ไปศึกษา และนำไปสู่การบริหารจัดการป่าไม้แบบ ‘ไทยโมเดล’  และ ‘ตัดไม้ ‘แต่ ‘ได้ป่า’ เฉกเช่นที่สวีเดน
 

 

 

จาก 'สวีเดนโมเดล' ถึง 'ปลูกป่าในใจคน'

อรุณรุ่ง โพธิ์ทอง ฮัมฟรีย์ส เอกอัครราชทูต ณ กรุงสตอกโฮล์ม  กล่าวว่า  "ภารกิจสำคัญของสถานเอกอัครราชทูตฯ คือ การสานพลัง สร้างนวัตกรรม สู่ความยั่งยืน โดยเชื่อมโยงความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อหาแนวคิดที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนแก่ประเทศไทย ซึ่งการบริหารจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืนของสวีเดนที่นำมาเผยแพร่ในวันนี้ เป็นการเชื่อมโยงระหว่างป่าไม้ ชุมชน และเศรษฐกิจ ให้เติบโตไปพร้อมกัน เป็นการสร้างความผูกพันระหว่างป่ากับคน สอดคล้องกับพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เรื่อง “ปลูกต้นไม้ในใจคน” ที่ต้องทำให้คนเข้าใจว่าเราปลูกต้นไม้ทำไม ประโยชน์คืออะไร ถ้าเราสามารถสร้างระบบอุตสาหกรรมและธุรกิจป่าไม้ที่ทำให้คนในชุมชนมีรายได้จากป่า เห็นคุณค่าจากป่า ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะร่วมกันบริหารจัดการป่าอย่างเหมาะสมและยั่งยืน ซึ่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเรื่องแนวคิดการบริหารจัดการป่าในวันนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง และเป็นส่วนหนึ่งของสัปดาห์แห่งความยั่งยืนของไทย สวีเดน ปี 2566 "

 

 


 

สวีเดนเนรมิตป่าจาก 25% > 75% ใน 100 ปี

ยอน ออสเตริม เกรินดาห์ล เอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย  กล่าวว่า “ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สวีเดนส่งออกไม้เป็นอันดับที่ 3 ของโลก มูลค่ารวมกว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี แต่ยังสามารถเพิ่มพื้นที่สีเขียวที่เคยเหลือเพียง 25% เมื่อ 100 ปีก่อน เป็น 75% คือ การใช้ พระราชบัญญัติป่าไม้ (Forestry Act) ที่ทำให้ตัดไม้แต่ได้ป่า ถ้าตัดต้นไม้หนึ่งต้น ต้องปลูกเพิ่มอย่างน้อยสามต้น นอกจากจะได้พื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น ระบบนิเวศที่สมบูรณ์ ช่วยดูดซับคาร์บอน ลดผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแล้ว ยังช่วยให้คนอยู่ร่วมกับป่า ใช้ประโยชน์จากป่า และมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูป่าไปพร้อมกัน โดยได้ป่าไม้ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ให้ประชาชน เช่น ไม้สำหรับการก่อสร้างอาคารสมัยใหม่ ไม้แปรรูปเป็นเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงเศษไม้เหลือใช้เป็นเชื้อเพลิงชีวมวล รัฐบาลสวีเดนหวังว่าโมเดลและประสบการณ์ที่นำมาแบ่งปันในวันนี้ จะเกิดความร่วมมือระหว่างสองประเทศเพื่อขยายแนวคิดแห่งความยั่งยืนนี้ต่อไป”

 


ตัวอย่างงานสถาปัตยกรรมไม้จากสวีเดนที่สามารถสร้างอาคารสูง และ สะพานได้ 

สถาปัตยกรรมไม้ภายในบริษัท NCC สำนักงานใหญ่ ที่สวีเดน ผลงานของ Pi Ekblom  Gaia Architecture ขณะที่ทำงานกับบริษัท White Arkitektur  

 

สะพานไม้ BIFROST ออกแบบโดย Gaia Arkitektur ชนะรางวัลนวัตกรรม 


 

ปัจจัยความสำเร็จของ ‘การตัดไม้ แต่ได้ป่า’ ตามแบบสวีเดนโมเดล นอกเหนือจากพรบ.ป่าไม้แล้ว ยังประกอบด้วย นโยบาย มาตรการและแผนเชิงยุทธศาสตร์ที่บูรณาการร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อดูแลการบริหารจัดการป่ายั่งยืนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ อาทิ

 

City x Forest x Climate

 

การทำงานของ มูลนิธิ Eco-Innovation ที่บูรณาการด้วยแนวคิด City x Forest x Climate เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Climate) ด้วยการเพิ่มพื้นที่ป่า (Forest) และการใช้วัสดุจากผลิตภัณฑ์ไม้เพิ่มขึ้นเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในวัสดุก่อสร้าง (City) ดังนั้น มูลนิธิจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่ที่ถูกทำลาย ทิ้งร้างที่ไม่มีผู้คนอาศัยหรือมีการทำการเกษตรให้เป็นพื้นที่ป่า ซึ่งจะไม่สร้างผลกระทบพื้นที่ที่มีคนอยู่อาศัย นอกจากนี้ ยังถือเป็นโอกาสที่มูลนิธิจะมีส่วนช่วยแก้ปัญหา Climate Change และปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งในอนาคตอาจจะมีอาคารสีเขียว ซึ่งเป็นอาคารที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ จากการระบายอากาศที่เป็นธรรมชาติ และทำให้ค่าเช่าอาคารไม่แพงด้วย ทั้งนี้ จะต้องมีระบบการบูรณาการอุตสาหกรรมการก่อสร้างที่ก้าวหน้ากว่านี้ โดยมีการรับรองด้วยแหล่งที่มาของวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการก่อสร้างด้วย 

 

 

Sodra บริษัทที่ก่อตั้งมา 85 ปีในพื้นที่ยากจนสวีเดน แต่เมื่อบริษัทนี้เข้าพัฒนาพื้นที่ให้เป็นพื้นที่ป่า โดยมีสมาชิกที่เป็นเจ้าของรายย่อยกว่า 5.2 หมื่นคนที่ Sodra ส่งเสริมการทำกำไรด้วยการให้การสนับสนุนจากบริษัท และนำวัตถุดิบที่ได้จากป่าเพื่อทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด นับแต่การผลิตกระดาษ ไบโอดีเซล กระแสไฟฟ้า และใช้เปลือกไม้เบิร์ช (Birch) เพื่อนำมาทำเส้นใยเพื่อผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปอีกด้วย จากเดิมที่ไม้ชนิดนี้คนสวีเด่นใช้ทำฟืนเท่านั้น ขณะเดียวกัน ก็พยายามพัฒนานวัตกรรมใหม่ ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์จาก Sodra ส่งออกไปทั่วโลก 80% และสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ทั่วโลกอีกด้วย

 

Me Too ไม่ได้ ไทยต้องปั้น ‘ไทยโมเดล’เอง

จากวงเสวนาประเด็นที่น่าสนใจคือ ประเทศไทยก็ไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลกที่มีการตัดไม้เป็นข้อห้ามโดยอัตโนมัติ ซึ่งข้อห้ามดังกล่าวนั้นจัดได้ว่าไม่เวิร์ค แต่ควรทำอย่างไรเพื่อให้ประชาชนเห็นคุณค่าของป่า อีกทั้งรัฐบาลก็ไม่ควรหวั่นเกรงกับการมีส่วนร่วมของประชาชน ที่สำคัญ ในการพัฒนาและบริหารจัดการพื้นที่ป่าเพื่อความยั่งยืนควรจัดการพัฒนากับป่าเสื่อมโทรมให้เป็น ‘ป่าชั้นสอง’ เนื่องจากไม่มีคนอาศัย และหากพัฒนาแล้วก็ยังจะสามารถพัฒนาเป็นการท่องเที่ยวที่เป็น มิตรกับสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย แต่ในความเป็นจริง พื้นที่ป่าของประเทศไทยที่มีราว 1 หมื่นล้านตารางเมตรนั้น ส่วนใหญ่จะปลูกโดย ‘คนตัวเล็ก’ และเป็นต้นยูคาลิปตัส ซึ่งถือเป็นเกษตรเชิงเดี่ยว และหากต้องการปลูกพืชชนิดอื่นก็จะต้องเปลี่ยนแปลงนโยบาย เนื่องจากพื้นที่ป่าของไทยเป็นของภาครัฐ ไม่อนุญาตให้เอกชนดำเนินการ และตอนนี้คงยากที่จะดำเนินธุรกิจอย่าง Sodra ในประเทศไทย เพราะการปลูกป่าแบบเดิมกับการปลูกผ่าในเชิงพาณิชย์นั้นเป็นเรื่องที่แยกกัน

 

อย่างไรก็ตาม หากว่ามี ‘คนตัวเล็ก’ ทำโครงการตัวอย่างให้เห็นว่า เอกชนและประชาชนก็สามารถสร้างป่าที่มีคุณค่าได้ก็อาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบายได้ และเปลี่ยนแปลงข้อกฎหมายที่ล้าหลังได้

 

“เราต้องร่วมกันสร้าง ‘ไทยโมเดล’ และปรับใช้ให้เข้ากับประเทศไทยให้ได้ ซึ่งแน่นอนว่า ต้องร่วมมือกันหลายภาคส่วน เช่น กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) นอกจากนี้ ก็ต้องพึ่งเทคโนโลยี เช่น การใช้โดรนบิน เพื่อดูแลพื้นที่ที่ต้องปรับปรุงพิเศษ พร้อมทั้งต้องทำเป็นระบบทั้งหมดตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

 

ที่สำคัญ คือ ต้องพยายามทำให้ชาวบ้านเปลี่ยน Mindset และคิดว่า ทำอย่างไรจึงจะสามารถใช้ประโยชน์จากป่าให้ได้สูงสุด พร้อมทั้งมีการใช้โมเดลทางธุรกิจที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับชาวบ้าน ขณะเดียวกัน ภาครัฐก็ควรต้องให้ความรู้ กับในสังคมให้มีความรักธรรมชาติ ซึ่งประเทศไทยจะมีโอกาสเอาป่ามาพัฒนาได้และใช้ประโยชน์จากป่าได้ เช่น การต่อยอดสู่การท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ การท่องเที่ยวแนวรักษ์โลกที่เจาะตลาดคนรุ่นใหม่ได้ ที่สำคัญ หากมีการบริหารจัดการ/ฟื้นฟูป่าให้เป็น  ก็จะเป็นแรงจูงใจเพื่อนำไปสุ่การบริหารจัดการของคนเหล่านี้ได้ ซึ่งต้องชี้ให้เห็นว่า คนเหล่านี้จะได้อะไรจากผ่า ความสำคัญของธรรมชาติที่จะช่วยจัดการศัตรูพืชในพื้นที่ของเกษตรกร รวมทั้งระบบนิเวศ โดยเฉพาะเรื่องน้ำ เพียงแต่หากประเทศไทยสามารถทำได้จะใช้เวลาพัฒนาน้อยกว่าสวีเดน เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในเขตร้อน ต้นไม้สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว”

 

เอสซีจี หวังเชื่อม - จุดประกายทุกภาคส่วน 

สู่โมเดลจัดการป่ายั่งยืนแบบ 'ไทยโมเดล'

 

 

นิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวในตอนท้ายว่า

“เอสซีจีเห็นประโยชน์จาก’สวีเดนโมเดล’ และถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของประเทศไทย เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ลองศึกษาและนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศ ซึ่งเอสซีจีให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์พื้นที่ป่าในการทำเหมืองปูนซีเมนต์ เพื่อให้ระบบนิเวศอุดมสมบูรณ์ และขยายพื้นที่ป่าบก ป่าโกงกางและหญ้าทะเล รวมถึงการจัดการน้ำเพื่อบำรุงรักษาให้ป่าอุดมสมบูรณ์ในโครงการ ‘รักษ์ภูผามหานที’ โดยได้เพิ่มพื้นที่ป่าไปแล้ว 1.2 ล้านต้น และสร้างฝายชะลอน้ำ 1.15 แสนฝาย  ซึ่งช่วยชุมชนกว่า 306 ชุมชน 5.7 หมื่นครัวเรือนทั่วประเทศ ใช้อุปโภค-บริโภคและการเกษตร ส่งต่อการจ้างงานกว่า 2,550 คน ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างรายได้เพิ่มกว่า 5 เท่า  โดยมีเป้าหมายปลูกป่า 3 ล้านไร่  1.5 แสนฝาย เพื่อดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ 5 ล้านตัน มุ่งสู่ Net Zero ในปี 2050  ตามแนวทาง ESG 4 Plus

 

นอกจากนี้ ธุรกิจบรรจุภัณฑ์หรือเอสซีจีพีที่มีการใช้ไม้ยูคาลิปตัสเป็นวัตถุดิบหลักได้นำระบบการบริหารจัดการสวนป่าอย่างยั่งยืน ตามมาตรฐาน Forest Stewardship Council (FSC) มาใช้กับพื้นที่ปลูกป่าเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรมยูคาลิปตัสสายพันธุ์ใหม่ และใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อเพิ่มคุณภาพการปลูก สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้เกษตรกรกว่า 3,800 ล้านบาท/ปี ทั้งนี้ เอสซีจีเชิญชวนทุกภาคส่วน ทั้งในและต่างประเทศ มาร่วมกันศึกษา ต่อยอด และออกแบบการบริหารจัดการพื้นที่ป่าของประเทศไทยในรูปแบบใหม่ เพื่อให้มีพื้นที่ป่ามีความอุดมสมบูรณ์เพิ่มมากขึ้น และสามารถนำประโยชน์จากป่าไม้ไปสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศและภูมิภาคได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป”

 


 

ทั้งนี้ สัปดาห์แห่งความยั่งยืนไทย-สวีเดน ปี 2566 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-22 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา เพื่อผลักดันความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ของไทยกับสวีเดน จะช่วยส่งเสริมให้ไทยพัฒนาประเทศไปสู่ความยั่งยืนมากขึ้น โดยเฉพาะด้านป่าไม้และเมืองยั่งยืน และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน

 

  • ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดกิจกรรมต่างๆ เพิ่มเติมได้ทางเพจ Facebook ของ TNIU 

  •  www.facebook.com/TNIUThailandNordicInnovation

 

[อ่าน 1,553]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มัดรวมโปรโมชั่นจูงใจ กระตุ้นกำลังซื้อ ในงาน BIG MOTOR SALE 2025
Tatler Ball 2025 “The Next Horizon: Shaping Tomorrow” ค่ำคืนแห่งเกียรติยศ แรงบันดาลใจ
อโกด้าเผยนานาชาติเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นรับศึก FIVB Volleyball Women's World Championship 2025
“Jungceylon Junior Soccer 2025” ศึกฟุตบอลจิ๋ว ภาคใต้
โก โฮลเซลล์ สนับสนุน นมคุณภาพสูงล้านนา “เชียงใหม่เฟรชมิลค์”
แม็คยีนส์ เปิดซีรีส์ “Mc Premium Basic” ชูความพรีเมียม เรียบง่ายแต่ดูดี แมทช์ง่ายในทุกลุค
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved