พฤติกรรม ‘การบูลลี่ในโรงเรียน’ ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องได้รับการแก้ไขจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจากการสำรวจของกรมสุขภาพจิตยังพบข้อมูลที่น่าเป็นห่วง โดยพบว่าไทยกลายเป็นประเทศที่มีปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียนสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก
และจากการเจาะลึกความต้องการของเด็กนักเรียนไทยของ ‘นันยาง’ ยังพบว่า ความฝันสูงสุดของเด็กนักเรียนไทย ไม่ใช่การได้คะแนนดีๆ ในการสอบ แต่คือความต้องการหยุดปัญหาและพฤติกรรมการบูลลี่ในโรงเรียนให้หมดไป
ดังนั้น ‘นันยาง’ ในฐานะผู้ผลิตรองเท้านักเรียนที่อยู่ในตลาดมานานกว่า 70 ปี จึงประกาศจุดยืนพร้อมเป็นแนวร่วมกับเด็กไทยทุกคน เพื่อยุติปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียนให้หมดไป ผ่านแคมเปญ ‘BULLY NO MORE’ #บูลลี่ในโรงเรียนหยุดได้ด้วยนักเรียน ซึ่งเป็นแคมเปญต่อเนื่องในการยุติการบูลลี่ในโรงเรียนที่นันยางทำมาตั้งแต่ปี 2563
ดร.จักรพล จันทวิมล กรรมการผู้จัดการ บริษัท นันยาง มาร์เก็ตติ้ง จำกัด อธิบายเสริมถึง แคมเปญ 'BULLY NO MORE' ว่า
"ในปีนี้นันยางได้จัดทำสื่ออย่าง ‘คำขอโทษจากนันยาง’ ที่ได้เผยแพร่ออกไปแล้ว เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่นันยางได้เคยสื่อสารไปในอดีต ผ่านสื่อโฆษณาที่บางครั้งอาจมีเนื้อหาบางส่วนที่เข้าข่ายการบูลลี่โดยไม่ตั้งใจ
การออกมาขอโทษครั้งนี้จะเป็นตัวอย่างที่ดีในการจุดประกายให้นักเรียนที่เคยมีพฤติกรรมบูลลี่คนอื่นได้ฉุกคิดและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
และเพื่อเป็นการกระตุ้นเตือน นันยางยังได้ออกแคมเปญ ‘BULLY NO MORE’ พัฒนารองเท้าผ้าใบนักเรียนรุ่นพิเศษ “Nanyang ‘BULLY NO MORE’ Special Edition”
ที่สละพื้นที่โลโก้นันยางบนรองเท้า ให้เป็นข้อความเชิงสัญลักษณ์ BULLY NO MORE เพื่อประกาศจุดยืน และเชิญชวนนักเรียนทั่วประเทศมาเป็นแนวร่วม โดยมีผลิตเพียง 2,566 คู่เท่านั้น"
นอกจากนี้ นันยางยังเปิดโอกาสให้นักเรียนนำรองเท้าคู่เก่ามาแลกรองเท้ารุ่นพิเศษนี้ โดยรองเท้าคู่เก่าจะนำไปเป็นส่วนหนึ่งของชิ้นงาน Art Installation ที่เรียงตัวประกอบกันเป็นข้อความเชิงสัญลักษณ์ BULLY NO MORE
และที่สำคัญทุกคนที่เข้าร่วมจะได้ประทับรอยเท้าแสดงจุดยืนร่วมกันเป็นข้อความ BULLY NO MORE เพื่อประกาศจุดยืนและทำให้ปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียนหมดไป ผ่านแนวคิด ‘ย่ำให้เต็มที่ แต่ไม่ย่ำยีใคร’ ด้วยเช่นกัน
ดร.จักรพล เปิดเผยต่อว่า "ปัจจุบันตลาดรองเท้านักเรียนทุกประเภทในไทยมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท เฉพาะตลาดรองเท้าผ้าใบนักเรียนนั้น นันยางครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งอยู่ที่ 43-44%
โดยคาดว่าภาพรวมตลาดรองเท้านักเรียนในไทยในปี 2566 จะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา เพราะกำลังซื้อเริ่มกลับมาหลังการผ่อนคลายของโควิด-19 ซึ่งจะทำให้ตลาดรองเท้านักเรียนกลับมาคึกคักรับช่วงเปิดเทอมใหม่ในเดือนพฤษภาคมนี้อย่างแน่นอน"
พร้อมตั้งเป้าการเติบโตของรองเท้าผ้าใบนักเรียนของนันยางในปี 2566 อยู่ที่ 8-10% ซึ่งเติบโตสูงกว่าตลาดรวมที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3-5% และเป็นการตั้งเป้าที่สูงที่สุดของนันยางตั้งแต่เคยมีมา