ประวิทย์ เตชะวิจิตร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดูนิ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เหตุผลของการตัดสินใจลงทุนพัฒนาพื้นที่โรงงานเพิ่มในปี 2566นี้ มาจากการเห็นโอกาสทางธุรกิจที่ขยายตัวอย่างมาก โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ของกลุ่มชนชั้นกลาง (Emerging Markets) ในแต่ละประเทศที่มีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมในการรับประทานอาหารที่มีความพิถีพิถันมากขึ้น และจากความต้องการสินค้าพรีเมี่ยมที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตลาดอุตสาหกรรมด้านอาหาร หรือ HoReCa (Hotels Restaurants & Catering) โดยรวมแล้วเติบโต 8-10% ในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าจำนวนโรงแรม 24,400 แห่งทั่วประเทศไทย มีโรงแรม 4 ดาวขึ้นไป ประมาณ 3,660 แห่ง หรือคิดเป็น 15% ทำให้ความน่าสนใจในกลุ่มธุรกิจภัตตาคารและร้านอาหาร (Restaurant) ที่ TTB Analytics รายงานไว้มีจำนวนถึง 32,300 แห่ง โดยเป็นร้านเจาะตลาดระดับกลางและระดับบน ขณะที่ธุรกิจจัดเลี้ยงมีข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยและการประเมินของบริษัทคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าตลาดที่ 850 ล้านบาท ทำให้มุมมองในการขยายตลาดและลงทุนในไทยมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากศักยภาพของตลาด HoReCa ในไทยที่มีการบริโภคภายในประเทศสูงเหมาะกับการใช้เป็นฐานของธุรกิจ อีกทั้งยังเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคสะดวกในการส่งออก ซึ่งประเทศไทยมีสนธิสัญญา FTA Free Trade Agreement กับหลายประเทศทำให้มีข้อได้เปรียบในเรื่องภาษีของผู้ซื้อที่ต้องการนำเข้า อีกทั้งแรงงานในไทยมีคุณภาพสูงและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ยังไม่สูงนัก
สำหรับทิศทางธุรกิจและกลยุทธ์การตลาด HoReCa ในไทยและภูมิภาคเอเชียได้ให้ความสำคัญกับตลาด B2B (Business to Business) ในกลุ่มร้านอาหาร เป็นหลัก ซึ่งปัจจุบัน ดูนิ ไทยแลนด์ มีตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศและกำลังอยู่ในระหว่างแต่งตั้งตัวแทนเจาะกลุ่มเฉพาะอีกจำนวนหนึ่ง พร้อมกันนี้ในส่วนของกลุ่มสินค้าแพคเล็กจะมีการนำเข้าจำหน่ายในช่องทางโมเดิร์นเทรด เพื่อทำตลาดในส่วนของ B2C (Business to Consumer) ด้านช่องทางจัดจำหน่ายในต่างประเทศจะใช้เครือข่ายของ ดูนิ เอบี ซึ่งเป็นบริษัทแม่ พร้อมกับแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในเมืองหลักทั่วภูมิภาคเอเชีย
กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดูนิ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวต่อว่า ส่วนแผนการลงทุนในประเทศไทยบริษัทเริ่มลงทุนขั้นต้นในปี 2559 มูลค่า 720 ล้านบาท และเตรียมขยายพื้นที่และกำลังผลิตอีก 300 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ซึ่งจะดำเนินการในปีนี้มูลค่าการลงทุน 190 ล้านบาท และในช่วงปี 2567 ในมูลค่าการลงทุน 110 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการลงทุนในประเทศไทยมูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามจากการขยายกำลังการผลิตดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ สามารถผลิตสินค้าที่มีความหลากหลาย สอดรับกับความต้องการของตลาดในอนาคต รวมถึงเพิ่มกำลังการผลิตจากปัจจุบัน 4,000 ตันต่อปี และเพิ่มเป็น 6,000-8,000 ตันในปี 2567-2568 ตามลำดับ ซึ่งการเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและจำหน่ายให้ทั้งในไทยและประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียครั้งนี้เป็นไปตามแผนธุรกิจที่เคยทำสำเร็จมาแล้วในยุโรป
นอกจากแผนการลงทุนและขยายกำลังการผลิตแล้ว อีกหนึ่งแผนงานที่ ดูนิ ไทยแลนด์ ให้ความสำคัญกับการทำการตลาด คือการพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายและสร้างแบรนด์ ซึ่งบริษัทมีสินค้าหลากหลายกลุ่มตลาด โดยแบ่งออกเป็น 3 คอนเซ็ปต์หลัก Go-Joy-Wow โดย Go การใช้งานแบบสะดวกราคาไม่สูง เช่น napkins ที่ใช้ในร้านอาหารแบบทานสบายๆ สไตล์คาเฟ่, Joy เน้นความสวยงาม สนุกสนานสร้างอารมณ์และบรรยายกาศที่ดีของงานเลี้ยงในกลุ่มครอบครัวและเพื่อนฝูง และWow เน้นความหรูหรา ให้ความรู้สึก Luxury เหมาะกับ Fine Dining และร้านที่ให้ความสำคัญกับบรรยากาศร้านและดีไซน์และนับเป็นจุดยืนของแบรนด์ที่ชัดเจนเพื่อการสื่อสารกับกลุ่มตลาดเป้าหมายทั้งในตลาดไทยและตลาดในภูมิภาคเอเชีย
กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดูนิ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวต่อว่า ผ้าเช็ดปาก Duni Letto เป็นกระดาษเนื้อผ้าสำหรับเช็ดปากใช้บนโต๊ะอาหาร โดยมีการพับเสร็จพร้อมใช้งานให้สามารถสอดมีดช้อนซ่อมให้ลูกค้าที่มาทานอาหาร ที่นอกจากความรู้สึกพรีเมี่ยมของเนื้อกระดาษ หลากหลายสีแล้ว ยังสามารถพิมพ์ลายหรือ เพิ่มข้อความเพื่อสร้างแบรนด์ให้กับลูกค้าได้ด้วย โดยลดต้นทุนหรือเพิ่มมูลค่าให้สินค้า รวมถึงมีส่วนเสริมภาพลักษณ์และสะท้อนตัวตนของร้าน
ทั้งนี้ยกตัวอย่าง กรณีของโรงแรม 4 ดาวขึ้นไป หรือ ร้านอาหารพรีเมียม ส่วนใหญ่จะใช้ผ้าลินินในการปูโต๊ะอาหารเพื่อเสริมภาพลักษณ์ ซึ่ง Duni Letto จะมีราคาต่อชิ้นใกล้เคียงกับต้นทุนในการทำความสะอาดผ้าที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน โดยที่ลูกค้าสามารถลดต้นทุนในการดำเนินงาน ทั้งประหยัดเวลา และแรงงานในการจัดเก็บและพับได้
นอกจากแผนธุรกิจที่กำลังขยายทั้งในประเทศไทยและในอีกหลายประเทศนั้น ดูนิ กรุ๊ป (Duni Group) เป็นแบรนด์กระดาษเช็ดปากสัญญาติสวีเดนที่ตระหนักและดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง บนมาตรฐานการผลิตจากโรงงานทั้งสองแห่งที่ประเทศเยอรมันและโปแลนด์ รวมถึงโรงงานที่ประเทศไทยที่เป็นฐานการผลิตแห่งแรกนอกยุโรป
ทั้งนี้มีมาตรฐานการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนและได้รับรองจากคณะกรรมการพิทักษ์ป่า (THE FOREST STREWARDSHIP COUNCIL :FSC) ที่ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้ในป่า มีการจัดการในลักษณะที่เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมเป็นประโยชน์ต่อสังคมและเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจ พร้อมกันนี้ยังได้รับเครื่องหมายคุณภาพ THE RALจากสมาคมคุณภาพ แห่งยุโรป เพื่อให้แน่ใจว่าการเผาไหม้ของได้สะอาด ไม่มีสารที่เป็นอันตราย ไม่เสียรูป ปลอดภัยและเชื่อถือได้
อีกทั้งบริษัทมีแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2573 ซึ่งในปี 2566นี้ สามารถบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้เป็นผลสำเร็จ พร้อมกับตั้งเป้าหมายในปี 2568 สินค้ากระดาษของดูนิ จะสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ