“ฟอร์ติเน็ต” ชี้ Single Vendor SASE คือ Game Changer
23 Jun 2023

ผลสำรวจสถาปัตยกรรม SASE ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกของ Fortinet ระบุว่าการทำงานแบบ "Branch-Office-of-One" ท้าทายความปลอดภัยเน็ตเวิร์กในยุค Hybrid Work โดยการสำรวจเน้นย้ำความสำคัญของ Single-Vendor-SASE เพื่อช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับพนักงานที่ทำงานจากระยะไกลท่ามกลางอุปกรณ์ที่ไม่ได้รับการจัดการจำนวนมากและการโจมตีด้านความปลอดภัยที่เพิ่มมากขึ้น

 

สำหรับการสำรวจครั้งนี้เกิดขึ้นด้วยการพูดคุยกับผู้นำด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้จำนวน 450 คนจาก 9 ประเทศทั่วทั้งเอเชีย ได้แก่ ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ เวียดนาม และไทย ทั้งนี้ผู้ตอบแบบสำรวจคือผู้ประกอบการจาก 9 อุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิต 14% ค้าปลีก 13% โลจิสติกส์ 14% การบริการดูแลสุขภาพ หรือเฮลธ์แคร์ 13% บริการทางการเงิน หรือ FSI 10% และภาครัฐ 11%

พีระพงศ์ จงวิบูลย์ รองประธาน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และฮ่องกง ฟอร์ติเน็ต กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าเทคโนโลยีมากกว่า 50 ชนิด และมีผู้ใช้สินค้ามากกว่า 30 ชนิดจากทั้งหมด ทั้งนี้มีการเรียนรู้และพัฒนาสินค้าให้สอดรับกับความต้องการของผู้ใช้งาน โดยเทรนด์เทคโนโลยีตอนนี้เป็นการเชื่อมต่อที่ไม่สามารถจัดการได้โดยตรงเข้ามาในระบบทำให้การป้องกันภัยคุกคามมีช่องโหว่ เนื่องจากในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา 2-3 ปี มีการทำงานจากที่บ้านหรือนอกพื้นที่ของตัวองค์กร หรือ work from home ทำให้เทรนด์การใช้เทคโนโลยีจะต้องตอบโจทย์ปัญหานี้ 

 

 

ทั้งนี้ องค์กรธุรกิจให้ความสนใจในเรื่องระบบความปลอดภัยที่สามารถครอบคลุมการใช้งานที่หลากหลาย ซึ่งหลังโควิด-19 จึงยังคงมีบริษัทใช้ระบบทำงานแบบไฮบริด คือ ยังมีบางส่วนทำงานที่บ้าน และบางส่วนทำงานที่ออฟฟิศ อย่างไรก็ตามภัยคุกคามด้านไซเบอร์มีมูลค่าความเสียหายเป็นระดับหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสำหรับประเทศไทยเป็นหนึ่งในกลุ่มอาเซียนที่ได้ปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้กับธุรกิจมากที่สุด ดังนั้นการมีการป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์จึงเป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจ เนื่องจากในกลุ่มแฮกเกอร์ประเทศไทยถูกจับตามองเช่นกัน

ความท้าทายของ Branch Office of One

ราชิช แพนเดย์ รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร ภูมิภาคเอเชีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ฟอร์ติเน็ต  กล่าวว่า ในขณะที่โลกเปลี่ยนไปสู่การทำงานในแบบไฮบริด องค์กรธุรกิจต่างต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาความปลอดภัยของสภาพแวดล้อมการทำงานที่มาในรูปของสาขาส่วนบุคคล หรือ Branch Office of One ซึ่งคนทำงานและอุปกรณ์ต่างๆ ล้วนทำงานอยู่ภายนอกของพื้นที่การทำงานปกติ 

สำหรับงานวิจัยสถาปัตยกรรม SASE ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกครั้งนี้ได้เน้นย้ำถึงความเร่งด่วนสำหรับองค์กรในการปรับใช้กลยุทธ์การรักษาความปลอดภัยที่ครอบคลุมที่จะเข้ามาช่วยจัดการทั้งความซับซ้อนและความเสี่ยงที่เกิดจากการเติบโตของการทำงานจากระยะไกล หรือ Remote Work 


Branch-Office-of-One ของไทยเพิ่มขึ้น

96% ประเทศไทยทำงานแบบไฮบริด 
50% ที่ทำงานในแบบไฮบริด 
80% คาดว่าจะมีอุปกรณ์ที่มีการจัดการเพิ่มขึ้นกว่า 100% 
64% คาดว่าอุปกรณ์ที่ไม่ได้รับการจัดการจะเติบโตกว่า 50% 
30% อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายไม่มีการจัดการ

ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของภัยคุกคามด้านความปลอดภัยจากการทำงานในรูปแบบไฮบริดและการเติบโตของการเชื่อมต่อเข้าสู่เน็ตเวิร์กทั้งที่ได้รับการจัดการและไม่ได้รับการจัดการ ส่งผลต่อการเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของภัยคุกคามด้านซีเคียวริตี้ โดย 34% ขององค์กรที่ตอบรับการสำรวจในประเทศไทยระบุการละเมิดมากกว่าถึง 3 เท่า และจากการสำรวจพบว่า 72% ของผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศไทยเคยประสบกับการโจมตีด้านความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 เท่า 

ส่วนรูปแบบการโจมตีซีเคียวริตี้ที่อยู่ในอันดับต้นๆ คือ การทำฟิชชิง การปฏิเสธการบริการ การโจรกรรมข้อมูลและข้อมูลส่วนบุคคล แรนซัมแวร์ และการสูญหายของข้อมูล อย่างไรก็ตาม มีเพียง 49% ขององค์กรทั่วเอเชียเท่านั้นที่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยโดยเฉพาะ ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงต่อเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยและการละเมิดที่มากขึ้น

ทั้งนี้จากการสำรวจเห็นได้ชัดเจนว่า Single-Vendor SASE ที่มาพร้อมความสามารถในการควบรวมระบบเน็ตเวิร์กและความปลอดภัยเข้าด้วยกัน คือสิ่งที่พิสูจน์ว่ากำลังจะเข้ามาเป็นจุดเปลี่ยน หรือ Game Changer สำหรับหลายๆ องค์กรที่กำลังมองหามาตรการรักษาความปลอดภัยที่เรียบง่ายและมั่นคงสำหรับผู้ใช้ทั้งภายในและภายนอกเครือข่ายทั้งหมด ซึ่งจากการสำรวจพบว่า 72% ของผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศไทยต้องการผู้จำหน่ายเพียงรายเดียวสำหรับความสามารถด้านเน็ตเวิร์กกิ้งและซีเคียวริตี้

ขณะที่ 52% กำลังอยู่ระหว่างการรวมเวนเดอร์ด้านไอทีซีเคียวริตี้เข้าด้วยกัน นอกจากนี้ผู้ตอบแบบสอบถาม 68% ยังต้องการผู้ขายเพียงรายเดียวสำหรับบริการรักษาความปลอดภัยผ่านคลาวด์ และ SD-WAN โดยระบุถึงผลประโยชน์ต่างๆ ที่ได้รับ เช่น ช่องว่างด้านความปลอดภัยที่ลดลง ประสิทธิภาพเครือข่ายที่ดีขึ้น ความง่ายในการปรับใช้ ตลอดจนการแก้ไขปัญหาความท้าทายจากการบูรณาการและความสามารถในการปรับขยายขีดความสามารถในการทำงาน

Single Vendor SASE ลดความซับซ้อน

ภัคธภา ฉัตรโกเมศ ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฟอร์ติเน็ต กล่าวว่า สำหรับประเทศไทยยังคงมุ่งหน้าไปสู่อนาคตทางดิจิทัลเพื่อกลายเป็นผู้นำในเศรษฐกิจดิจิทัล ทำให้กลายเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งที่ต้องรับทราบถึงอัตราความถี่และความซับซ้อนในการโจมตีทางไซเบอร์ ตลอดจนการละเมิดข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้น การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะในอุตสาหกรรมความปลอดภัยทางไซเบอร์คือสิ่งที่ยิ่งทำให้ปัญหานี้ยิ่งมีความท้าทายเพิ่มสูงขึ้น

 

 

ทั้งนี้ฟอร์ติเน็ตมุ่งมั่นที่จะเชื่อมช่องว่างทางทักษะ หรือ Skill Gap การให้ความรู้และการตระหนักรู้ที่เกี่ยวกับไซเบอร์ซีเคียวริตี้ที่จำเป็นแก่คนทำงานทั้งหมดที่อยู่ในองค์กร ด้วยโซลูชัน Single-Vendor SASE ซึ่งมีเป้าหมายในการช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการนโยบายความปลอดภัย พร้อมทั้งยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ให้กับคนทำงานจากระยะไกล เพื่อช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ของประเทศสามารถรับมือกับความท้าทายด้านความปลอดภัยของคนทำงานที่มีการเปลี่ยนแปลงและสำหรับฟอร์ติเน็ตประเทศไทยยังคงเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มของเอเชียแปซิฟิกที่สามารถตรวจจับภัยคุกคามไซเบอร์ได้ดี 

ไซมอน พิฟฟ์ รองประธานฝ่ายวิจัย ไอดีซี เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ผลลัพธ์ที่ได้จากการสำรวจเน้นไปที่ความสำคัญของการจัดลำดับความสำคัญมาตรการรักษาความปลอดภัยและการลงทุนในโซลูชันที่ให้การทำงานบนคลาวด์ที่บูรณาการเข้ากับโซลูชันแบบ On-Prem ได้อย่างราบรื่นเพื่อจัดการสภาพแวดล้อมในการทำงานแบบไฮบริด รวมทั้งช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น แนวโน้มความพึงพอใจที่มีต่อการใช้เวนเดอร์เพียงรายเดียวแต่รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่หลอมรวมเข้าด้วยกัน (Infrastructure Convergence) แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดถึงความต้องการการจัดการที่มีประสิทธิภาพ 

ทั้งนี้รวมถึงสถาปัตยกรรมแบบ Zero-Trust ที่สามารถพัฒนาการปรับใช้และเสริมประสิทธิภาพด้านการรักษาความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ องค์กรธุรกิจต่างต้องการที่จะจัดการปัญหาความท้าทายต่างๆ รวมไปถึงการลงทุนในโซลูชันด้านการรักษาความปลอดภัยทั้งเพื่อรองรับกลุ่มคนทำงานในรูปแบบไฮบริดและลดภัยคุกคามด้านความปลอดภัย

 

[อ่าน 993]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บีโอไอชู Thailand FastPass เร่ง “บราสเคม สยาม” เดินหน้าเอทิลีนชีวภาพรายแรกในเอเชีย ตั้งเป้าเสร็จปี 2571
ACSC ผนึก Meta–หน่วยงานต่างประเทศ เปิดปฏิบัติการ “Joint Disruption Week” กวาดล้างแก๊งสแกมข้ามชาติในอาเซียน
สเปอร์ส–ลิเวอร์พูล ดวลเดือดนัดพิเศษ ชูพลังฟุตบอลระดมทุนช่วยผู้ป่วยมะเร็งเด็ก วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคมนี้
เดอะมอลล์ ผนึก เอกชนสุขุมวิท ทุ่ม 200 ล้าน สร้าง “EXTRAVAGANZA SUKHUMVIT COUNTDOWN 2026” ดันสุขุมวิทสู่แลนด์มาร์กเคานต์ดาวน์โลก
WELOVEGOLF Tournament 2025 ผสานพลังสมาชิกและพันธมิตร ส่งมอบความรักและความสุข ให้น้องๆ
กสิกรไทยเดินหน้าเศรษฐกิจสีเขียว จับมือกรมลดโลกร้อน หนุนผู้ประกอบการเข้าโครงการ G-Green
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved