ดังนั้นการกำหนดนโยบายและเป้าหมายการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ของภาครัฐและเอกชนในการลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส จึงเป็นหัวใจสำคัญที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนและจริงจัง
ทั้งนี้จากความตกลงปารีส หรือ Paris Agreement เกิดขึ้นจากการประชุม COP ครั้งที่ 21 ปี 2558 ที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นความตกลงตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ UNFCCC ฉบับล่าสุด ซึ่งเป็นส่วนขยายและเพิ่มเติมต่อจาก พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol–KP) ปี 2540 เพื่อกำหนดมาตรการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ โดยจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในศตวรรษนี้ให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส โดยปัจจุบันมีประเทศภาคีสมาชิกร่วมลงนามในความตกลงปารีสแล้วทั้งสิ้น 197 ประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศไทย
การชดเชยคาร์บอน คือการนำคาร์บอนเครดิตมาชดเชยกับปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่างๆ ขององค์กรหรือบุคคลเพื่อทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงหรือเท่ากับศูนย์ โดยระบบการซื้อขายคาร์บอนเครดิตมีมานานกว่า 30 ปีแล้ว ซึ่งเป็นไปตามกลไกทางตลาดและความได้เปรียบในการแข่งขันโดยประเทศที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในต้นทุนที่ถูกกว่า
ยกตัวอย่างเช่น การปลูกป่า หรือโครงการพลังงานหมุนเวียนที่สามารถลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศโลก สามารถนำการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 1 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ (เทียบเท่ากับ 1 คาร์บอนเครดิต) มาขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิต และขายสิทธิในการปล่อยแก๊สเรือนกระจกให้กับประเทศที่มีต้นทุนในการลดการปลดปล่อยที่สูงกว่า ประเทศผู้ซื้อสามารถนำคาร์บอนเครดิต มาหักกลบลบกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศ เพื่อใช้ในการคำนวณว่าประเทศบรรลุเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นการใช้หลักการที่เรามีโลกใบเดียวกัน
ดังนั้น การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ควรจะถูกดูดกลับออกจากชั้นบรรยากาศในจำนวนเท่ากัน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ใดก็ตามในโลกใบนี้ ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากเป็นการสร้างแรงจูงใจทางการเงินให้ทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด ทำให้เกิดผลประโยชน์อย่างยั่งยืนในด้านสังคมสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ
สำหรับในประเทศไทยมีการสร้างความร่วมมือกันเพื่อให้เกิดตลาดแห่งการซื้อขายคาร์บอนด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นพื้นที่ของสมาชิกองค์กรธุรกิจและบุคคลทั่วไปที่สนใจกข้าร่วม โดยเรียกพื้นที่นี้ว่า ‘Carbon Markets Club’
Carbon Markets Club หรือ CMC ได้ก่อตั้งขึ้น 28 มิถุนายน 2564 โดยความร่วมมือเริ่มต้นของ 11 หน่วยงาน ได้แก่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน), บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน), บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด, บริษัท เชลล์ แห่งประเทศไทย จำกัด ธนาคารกสิกรไทยจำกัด (มหาชน), ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด และบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะช่วยกันสนับสนุน เผยแพร่ ส่งเสริมการให้ความรู้เกี่ยวกับภาวะโลกร้อนและการซื้อขายคาร์บอนเครดิตและเครดิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน หนึ่งในเครื่องมือที่จะช่วยให้โลกเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับ 2 ปีที่ผ่านมาจากจุดเริ่มต้นของ CMC ในวันนั้นทำให้ตอนนี้มีสมาชิกทั้งประเภทองค์กรและบุคคลรวมกว่า 300 ราย ซึ่งได้ทำหน้าที่รองรับการซื้อขายโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย หรือคาร์บอนเครดิต TVER และใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน หรือ REC (Renewable Energy Certificates)
ทั้งนี้ทำให้เกิดการซื้อขาย TVERs รวมกว่า 300,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และ RECs รวมกว่า 1,000,000 เมกะวัตต์ชั่วโมง หรือรวมกันแล้วเทียบเท่า 800,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า คิดเป็นประมาณการปลูกต้นไม้ที่มีอายุ 10 ปี กว่า 90 ล้านต้น
อีกทั้ง CMC สร้างความร่วมมือร่วมกับภาคีเครือข่ายต่างๆ ในการจัดกิจกรรม รวมถึงมีเครื่องมือใหม่ที่จะเป็นประโยชน์กับสมาชิกอย่างต่อเนื่อง เช่น เครื่องมือประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับองค์กรสมาชิกและแพลตฟอร์มศูนย์กลางซื้อขายคาร์บอนเครดิตผ่านเว็บไซต์ CMC เป้นต้น
ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมชั้นแนวหน้าของประเทศและคอลัมนิสต์ประจำเว็บไซต์ CMC กล่าวว่า ปกติแล้วโลกมีภาวะเอลนีโยอยู่แล้ว แต่ความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นมากจจากภาวะโลกร้อนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมากหลายปี ทำให้ปีนี้จะเป็นปีแรกที่ภาวะเอลนีโยมีความทวีความรุนแรงเมื่อมีโลกร้อนมากขึ้นปีนี้จึงทำให้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมจนถึงสิ้นปีนี้จะได้พบกับอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นอีก 1 องศา และในอนาคตจากภาวะที่เกิดขึ้นตอนนี้โลกสามารถมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นได้ถึง 1.5-2 องศา
ทั้งนี้ปัญหาสิ่งแวดล้อมมีผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจอย่างชัดเจน เช่น ปัญหาค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นทำให้เพิ่มต้นทุนของบริษัทผู้ผลิตซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมและกระทบต่อผู้บริโภค ดังนั้นจำเป็นอย่างมากที่องค์กรธุรกิจจะต้องช่วยกันลด ละ เริ่ม ในเรื่องการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งสิ่งแรกที่องค์กรทำได้อันดับแรกคือ ลด เนื่องจากจะเห็นได้ว่าการลดจะเห็นผลลัพธ์ได้ก่อน
นอกจากนี้องค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นที่จะต้องให้ความรู้ปัญหาสิ่งแวดล้อมนี้สู่ผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบในวงกว้างด้วยเช่นกัน เนื่องจากการละ และการเริ่มหรือการปรับตัวนั้นจำเป็นต้องให้คนทั้งประเทศช่วยกันเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของภาพใหญ่ในไทย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมทางทะเลของไทย ซึ่งจำเป็นอย่างมากที่จะต้องให้ความรู้ในการอยู่ร่วมกันกับสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นมิตร
กลอยตา ณ ถลาง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานสื่อสารองค์กรและกิจการเพื่อความยั่งยืน บมจ. บางจาก คอร์ปอเรชั่น และประธาน CMC กล่าวว่า ECOLIFE for CMC คือแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้เข้าถึงสมาชิกของ CMC ได้เข้ามาใช้และเป็นพื้นที่เผยแพร่ความรู้ เป็นการกระตุ้นให้สมาชิกได้เข้าใจวิธีการลดรอยเท้าคาร์บอน ละสร้างภาระสิ่งแวดล้อม และเริ่มได้ทุกวัน โดยแอปพลิเคชันนี้มีการทดลองใช้กับพนักงานภายในของบริษัทบางจากจำนวน 110 คน ก่อนมีการเปิดให้สมาชิกทั้งหมดได้ดาวน์โหลดฟรีเพื่อเข้าใช้งาน
ทั้งนี้ภายในแอปพลิเคชันมีฟีเจอร์ที่สร้างมาเพื่อให้ผู้ใช้เข้าถึงและเข้าใจง่าย เช่น Eco Map ที่โชว์จุดต่างๆ บนแผนที่เพื่อให้สามารถเลือก Eco Destinations ซึ่งรวบรวมที่ตั้งร้านค้า สถานีบริการและพื้นที่ที่ร่วมกิจกรรมรักษ์โลกในรูปแบบต่างๆ เริ่มต้นจากร้านกาแฟอินทนิล จุดชาร์จรถ EV ในสถานีบริการน้ำมันบางจาก สถานีสลับแบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าวินโนหนี้ จุดรับกล่องเครื่องดื่มของโครงการเก็บกล่องสร้างบ้านเพื่อมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง(ภาฯ)ยามยาก
อีกทั้งรวมถึงจุดรับซื้อน้ำมันพืชใช้แล้วไปแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel – SAF) ของโครงการทอดไม่ทิ้ง จุดรับขยะกำพร้าสัญจรในปั๊มบางจาก เป็นต้น และในอนาคตจะทยอยเพิ่มเติมจุดหมายปลายทางอื่นๆ ต่อไป
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Eco Points ให้สมาชิกประเภทบุคคลสามารถสะสมเพื่อนำไปแลกของที่ระลึกหรือร่วมปลูกต้นไม้ดูดซับคาร์บอนช่วยโลก และสมาชิกประเภทองค์กรสามารถนำแอปพลิเคชัน ECOLIFE for CMC ใช้ในบริษัทเป็นเครื่องมือในการรณรงค์ภารกิจรักษ์โลกภายในองค์กร