ดร.โอลิเวอร์ ก็อตชัลล์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจอาหาร บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG กล่าวว่า บริษัทให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้าตั้งแต่อาหารสัตว์ การเลี้ยงและการแปรรูปออกมาเป็นสินค้าสู่ผู้บริโภคเพื่อให้สินค้าจากเบทาโกรเป็นอาหารที่มีคุณภาพสู่ความยั่งยืน ด้วยแนวคิด ‘Better foods & Food Solutions’ โดยสินค้าในแบรนด์ S-Pure เป็นสินค้าในกลุ่มอาหารซุปเปอร์พรีเมี่ยมที่เน้น Natural Pure Products 100% โดยใช้งบประมาณรวม 100 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายยอดขายแบรนด์ S-Pure ปีนี้เติบโตประมาณ 17% จากปี 2565 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้จะเห็นว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ซื้อเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นประมาณ 10% ด้วยปัจจัยจากการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ การบริโภคและภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มดีขึ้น รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคหลังสถานการณ์โควิด-19 ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น ทั้งสุขภาพกายและจิตใจ เลือกอาหารที่มีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัยสูง จากแหล่งผลิตที่สามารถตรวจสอบเชื่อถือได้และให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม เพื่อการบริโภคที่ยั่งยืนซึ่งดีต่อโลกและต่อตัวเอง
อีกทั้งจากข้อมูลคาดการณ์ตลาดอาหารซุปเปอร์พรีเมี่ยมในปี 2566นี้ จะมีมูลค่าอยู่ที่ 57,100 ล้านบาท คิดเป็น 7.3% ส่วนกลุ่มอาหารพรีเมี่ยมมีมูลค่าที่ 70,466 ล้านบาท คิดเป็น 8.9% กลุ่มอาหารระดับสแตนดาร์ดมีมูลค่า 175,774 ล้านบาท คิดเป็น 22.3% และกลุ่มอีโคโนมีมูลค่าอยู่ที่ 484,031 ล้านบาท คิดเป็น 61.4% ของมูลค่าตลาดรวมอาหาร
ดร.โอลิเวอร์ กล่าวต่อว่า สำหรับ 2 ปีที่ผ่านมา เบทาโกร ได้ร่วมมือกับพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อใช้กับสินค้า ซึ่ง S-Pure เป็นแบรนด์แรกของไทยที่นำบรรจุภัณฑ์ถาดกระดาษ (Paper Tray) มาใช้กับกลุ่มสินค้าอาหารสด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เนื้อหมู เนื้อไก่ ซึ่งถาดกระดาษผลิตจากต้นยูคาลิปตัสที่มาจากป่าปลูก 100% มีคุณสมบัติการใช้งานเทียบเท่าถาดพลาสติก (Forest Stewardship Council) สามารถลดการใช้พลาสติกได้ถึง 80% พร้อมดีไซน์บรรจุภัณฑ์โฉมใหม่ ด้วยภาพลักษณ์ทันสมัยสะท้อนถึงการเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ สดใหม่ มีความปลอดภัย
ทั้งนี้เบทาโกรมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาอาหารที่มีคุณภาพมากกว่า ปลอดภัยสูงกว่า ในราคาที่เป็นธรรม เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าและผู้บริโภคทุกกลุ่มในวงกว้าง S-Pure ได้รับการรับรองจาก NSF สหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นแบรนด์แรกและหนึ่งเดียวของไทยที่ได้รับการรับรองการเลี้ยงที่ไม่มียาปฏิชีวนะ (Raised Without Antibiotics – RWA) ครบทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ เนื้อหมู เนื้อไก่และไข่ไก่ และจากผลวิจัยผู้บริโภค พบว่า S-Pure เป็นแบรนด์ที่สามารถครองใจผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีฐานผู้บริโภค Brand Loyalty มากกว่า 50% (Quality advocacy Index)
ดร.โอลิเวอร์ กล่าวต่อว่า S-Pure Prime เนื้อสัตว์แปรรูปสไตล์โฮมเมดเป็นกลุ่มสินค้าใหม่ที่นำมาทำตลาดในปีนี้ ประกอบด้วย ไส้กรอกเวียนนา, เบคอนหมูรมควัน, พอร์คลอยน์แฮมรมควัน, โบโลญ่าหมูและโบโลญ่าไก่ ที่ปราศจากการแต่งเติมสารเคมีรวมถึงสารปรุงแต่ง สารกันบูด ผงชูรส วัตถุเจือปนอาหารและยังใช้วัตถุดิบจากเนื้อหมู เนื้อไก่ S-Pure 100% นับเป็นผลิตภัณฑ์ ‘อาหารฉลากสะอาด’ (Clean Label) รายแรกในประเทศไทย
ทั้งนี้ได้จัดแคมเปญการตลาดในกิจกรรม “S-Pure The Natural Way” มีศิลปินดาราชื่อดังร่วมแชร์เคล็ดลับ การดูแลสุขภาพและสาธิตการทำอาหาร รวมถึงกิจกรรมพิเศษสำหรับลูกค้า S-Pure ด้วยหวังให้เกิดการสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนดำเนินชีวิตด้วยการดูแลสุขภาพง่ายๆ อย่างเป็นธรรมชาติเพื่อคุณภาพชีวิตของทุกคนที่ยั่งยืน โดยสินค้าแบรนด์ S-Pure มีวางจำหน่ายที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ รวมถึงเบทาโกรช็อป เบทาโกรเดลี่และช่องทางจำหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Freshket, Grab, Lineman และ Robinhood เป็นต้น