Holiday Pastry ร้านขนม และ All Day Dining สุดฮอตย่านเจริญนคร ตอกย้ำความเป็น ‘Creative Dining Destination’ แห่งแรกและแห่งเดียวในไทย กางแผนธุรกิจพร้อมต่อยอดความสำเร็จ ครั้งใหม่
พร้อมก้าวสู่ผู้นำร้าน Dessert & Restaurant ด้วยกลยุทธ์ปั้นแบรนด์ให้แตกต่างสไตล์ “The One & Only” ในทุกสาขา ปูพรมขยายพื้นที่ร้านสาขาแรก Holiday Pastry ที่โครงการ Ours เจริญนคร เป็นแฟล็กชิพสโตร์ขนาดใหญ่ กว่าเดิม 3 เท่า มีพื้นที่รวม 400 ตารางเมตร และรุกขยายอีก 2 สาขาใหม่เข้าศูนย์การค้าใจกลางกรุง
ประเดิมด้วยศูนย์การค้า เซ็นทรัลเวิลด์ ซอฟท์โอเพนนิง กันยายนนี้ ตามด้วยโครงการ ดิเอ็มสเฟียร์ ปลายปี 66 คาดยอดขายปีนี้แตะ 100 ล้านบาท
จับตาขึ้นแท่นเชนร้านอาหารมาแรง แบรนด์ดังระดับเอเชีย-ระดับโลกจ่อเปิดตัวร่วมงานเพียบ ตั้งเป้าเติบโต 300% ภายใน 3 ปี
วสุวัส คูหาเปรมกิจ Co-Founder และ Brand Director บริษัท เดอะ ฮอลิเดย์ จำกัด กล่าวว่า Holiday Pastry สร้างชื่อจากร้านขนมออนไลน์ เปิดตัวครั้งแรกเมื่อ 3 ปีก่อน จากการเล็งเห็นช่องว่างของตลาดร้านขนม ในประเทศ ไทย ที่ยังมีผู้เล่นหลักๆ ไม่กี่ราย และยังขาดความหลากหลาย เมื่อเทียบกับนิวยอร์ก ลอนดอน โซล และซิดนีย์ ที่สำคัญ ร้านขนม ที่มีส่วนใหญ่ยังเป็นร้าน Specialty ที่เน้นขายเฉพาะขนมอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงมีไอเดียว่า อยากปั้นแบรนด์ ร้านขนมที่เป็น The One and Only นำเสนอประสบการณ์ที่แปลกใหม่แบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย
“เราเริ่มต้นจากการเปิดร้านออนไลน์ เน้นขายผ่านเดลิเวอรี เพราะเปิดตัวในช่วงโควิด-19 พอดี แต่เรามีแผนธุรกิจ 5 ปี (2020-2025) ชัดเจน ตั้งแต่แรกว่าจะขยายธุรกิจดังนี้
ด้านสาริน รณเกียรติ Co-Founder และ Creative Director บริษัท เดอะ ฮอลิเดย์ จำกัด กล่าวเสริมว่า
นอกจากแผนธุรกิจที่วางแผนมาอย่างดีในระยะยาวแล้ว กลยุทธ์การตลาดของ Holiday Pastry ก็แน่นไม่แพ้กัน ทำให้ Holiday Pastry ได้รับการตอบรับอย่างดีตั้งแต่เปิดตัว
รายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดปีละ 100% โดยกลยุทธ์ที่เป็น แกนหลักของ Holiday Pastry คือ กลยุทธ์ 3C ประกอบด้วย
“เราไม่ได้เน้นแค่เรื่อง Customer Centric แต่เราให้ความสำคัญกับ Customer Obsession หรือสิ่งที่ลูกค้า ต้องการจริงๆ อย่างคอนเซ็ปต์ร้าน เราตั้งใจมอบประสบการณ์แบบ Full Experience ให้กับลูกค้า เริ่มตั้งแต่จุดเล็กๆ ตั้งแต่การรังสรรค์เมนูขนมและอาหาร ไปจนถึงการตกแต่งร้าน จาน ชาม ชุดพนักงานล้วนผ่านการออกแบบอย่างดี เพื่อนำเสนอประสบการณ์ที่ดีที่สุดและอรรถรสสูงสุดให้กับลูกค้า โดยเมื่อลูกค้าเปิดประตูเข้ามาในร้าน จะได้กลิ่นหอมที่ เราคราฟต์ขึ้นมาเฉพาะ เสียงเพลงที่ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย เข้ากับบรรยากาศร้านที่ดีไซน์ให้กลิ่นอายของช่วงเวลาแห่งการ พักผ่อน ใช้โทนสีเหลืองสะท้อนช่วงเวลาพระอาทิตย์ตก เติมเต็มด้วยรสชาติของอาหารและขนมที่รังสรรค์อย่างดี ให้รสชาติอร่อยและมอบรสสัมผัสที่หลากหลาย มีเท็กเจอร์ที่มากกว่า 1 มิติในแต่ละเมนู
นอกจากนี้ เพื่อตอกย้ำความเป็น ‘Creative Dining Destination’ ในแต่ละสาขา ยังตั้งใจออกแบบเพื่อนำเสนอ ประสบการณ์แบบ The One and Only อย่างแฟล็กชิฟสโตร์ ( โครงการ OURS เจริญนคร 10) ที่กำลังจะขยายในปลายปีนี้
“คอนเซปต์ที่เราวางไว้คือ เป็นการจำลองบรรยากาศ Hotel Lobby ในมหานครนิวยอร์ค ยุค Art Deco ที่มีการเล่นกับสีสันสะดุดตาราวกับหลุดไปอยู่ในหนังของผู้กำกับชื่อดัง Wes Anderson ภายในประกอบด้วยโซน Immersive Experience ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนได้เดินทางวาร์ปจากสถานที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ก่อนจะเข้าสู่โซน รับประทานอาหาร ที่เราตั้งใจออกแบบให้ความรู้สึกเหมือนล็อบบี้โรงแรม เพื่อสื่อถึงคอนเซ็ปต์ของแบรนด์ ที่เป็นจุดหมาย ปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก สามารถมาดื่มด่ำกับอาหารและขนมที่ทุกเมนูรังสรรค์ด้วยความใส่ใจ
ทั้ง รสชาติและคุณภาพ แถมยังใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไปในทุกเมนู ซึ่งเรามีการปรับจาก Brunch มาเป็น Dinner มีการปรับ เพิ่มจากเมนูเดิมที่มีอยู่ 40 เมนู เป็น 100 เมนู โดยตั้งใจว่า ในแต่ละสาขาจะยังคงเมนูยอดฮิตและซิกเนเจอร์ไว้ เพิ่มเติมคือ เมนูพิเศษที่เป็น The One and Only ของแต่ละสาขา ซึ่งเป็นเหมือนมิชชั่นให้ลูกค้าต้องตามเก็บให้ครบ และยังมีโซนช็อปปิง สำหรับซื้อสินค้าหรือของที่ระลึกจาก Holiday Pastry”
สาริน ยังกล่าวด้วยว่า แม้จะเริ่มจากขายผ่านออนไลน์ แต่ทางแบรนด์ให้ความสำคัญกับการบริการเป็นอย่างมาก “อย่างการตอบแชทลูกค้า ผมนำอินไซต์จากการรับออร์เดอร์ ตอบแชทลูกค้าเองในช่วง 2-3 เดือนแรกมาทำเป็นไบเบิ้ล เพื่อเทรนพนักงานเลยว่า ต้องตอบคำถามลูกค้า อย่างไร จนตอนที่เปิดร้าน ก็ยังให้ความสำคัญกับ การให้บริการ ของพนักงานตั้งแต่การต้อนรับ พาลูกค้าไปนั่งที่โต๊ะ”
สำหรับความท้าทายของธุรกิจของอาหารและขนม สาริน กล่าวว่า “Food is Fashion” ธุรกิจอาหารก็เหมือน แฟชั่น มีเทรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ดังนั้น นอกจากจะฟังเสียงลูกค้า เรายังต้องตามเทรนด์ให้ทันและมีมูฟเมนต์ใหม่ ที่ฉับไวเสมอ ทางร้านเองเคยร่วมงานกับแบรนด์ร้านอาหารด้วยกันมาแล้ว ต่อจากนี้ ก็มีโปรเจ็กต์ที่จะร่วมงานกับ แบรนด์ดังหลายแบรนด์ในทุกไตรมาสไปจนถึงปีหน้า ซึ่งเป็นแบรนด์ในวงการอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงในระดับเอเชีย ไปจนถึง แบรนด์ระดับโลก”
เป้าหมายในอนาคตของ Holiday Pastry วสุวัส กล่าวว่า
ปัจจุบันลูกค้าหลักของ Holiday Pastry เป็นคนไทย 60% ชาวต่างชาติ 40% โดยฐานลูกค้าหลักที่เรามองไว้ คือ กลุ่มครอบครัว และนักท่องเที่ยว
ดังนั้น แผนธุรกิจอีก 3 ปีข้างหน้าที่วางไว้ คือ อยากให้ Holiday Pastryเป็นมากกว่าแบรนด์ร้านอาหารและขนม แต่เป็น Food Retail ที่พร้อมต่อยอดธุรกิจในกลุ่มอาหาร และขนมไปสู่การแตกแบรนด์ใหม่
พร้อมนำเข้าแบรนด์อาหาร หรือขนมจาก ต่างประเทศมาเปิดในไทย ไปจนถึงการแตกไลน์สินค้าภายใต้ Holiday Pastry
โดยคาดว่า ปี 2566 จะทำยอดขายแตะ 100 ล้านบาท และตั้งเป้าว่า ธุรกิจจะเติบโต 300% ภายใน 3 ปี และในอนาคตสามารถ เป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจอาหาร และขนม