“ซิตี้แบงก์” มองเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิกปี 2567 ทยอยฟื้นตัว
 ไทยจีดีพีโต 3.6%
26 Jan 2024

 

ธนาคารซิตี้แบงก์เผยเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิกเติบโตต่อเนื่อง จากการลงทุนในภูมิภาคสูงขึ้นประกอบกับเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว ด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติเหลว และโลหะ ยังอยู่ในระดับต่ำจากการที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป

ขณะที่เศรษฐกิจไทยปีนี้โต 3.6% จากปัจจัยการบริโภคภาคเอกชน การฟื้นตัวของภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว ตลอดจนการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะจากต่างประเทศ ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น

อย่างไรก็ตามต้องติดตามข้อสรุปของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่ยังมีความไม่แน่นอน แต่หากไม่มีมาตรการนี้ ภาครัฐมีแนวโน้มออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1.7% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะยังอยู่ที่ 2.5% จนถึงปี 2568

 

 

โจฮันน่า ฉัว หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและตลาดเอเชียแปซิฟิก ธนาคารซิตี้แบงก์ กล่าวว่า

“ภาพรวมเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกปีนี้ จะปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนหน้า จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนมิถุนายน 2567 ที่ระดับ 0.25% และคาดว่าตลอดปีจะลดดอกเบี้ยทั้งหมด 5 ครั้ง ที่ระดับ 1.25%

ขณะที่ธนาคารกลางในเอเชียจะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่น้อยกว่า ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐอเมริกาและเอเชียน้อยลง ส่งผลให้เงินลงทุนไหลเข้ามาในภูมิภาคนี้มากขึ้น

ขณะเดียวกันจะเริ่มเห็นความต้องการสินค้าโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลจีน ทำให้เศรษฐกิจในภูมิภาคทยอยฟื้นตัว สำหรับ GDP ของประเทศจีนในปี 2567 จะเติบโตที่ 4.6% ขณะที่ GDP ประเทศอินเดียเติบโตที่ 7%”

 

 

แอนโทนี่ หยวน หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ธุรกิจพลังงาน ธนาคารซิตี้แบงก์ กล่าวว่า

“ภาพรวมราคาสินค้า โภคภัณฑ์ในระยะสั้นมีแนวโน้มลดลง โดยราคาน้ำมันดิบปี 2567 อยู่ที่ 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากการที่เศรษฐกิจโลก ยังฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงอุปทานน้ำมันของประเทศผู้ผลิตนอก OPEC สูง ตลอดจนความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการน้ำมันดิบลดลง

อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันอาจปรับเพิ่มขึ้นหากเศรษฐกิจฟื้นตัวดีกว่าที่คาด ด้านราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ยังทรงตัวในระดับต่ำ แต่สูงกว่าช่วงก่อนการระบาดของโควิดไปจนถึงปี 2569 หากทวีปยุโรปและเอเชียไม่เผชิญปัญหาสภาพอากาศหนาวเย็นกว่าปกติ

ส่วนราคาโลหะภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะทองแดง ยังคงอยู่ในระดับเดิมจากการสถานการณ์เศรษฐกิจโลก แต่ในช่วง 2 ปีข้างหน้ามีโอกาสปรับตัวดีขึ้น จากการลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยี Decarbonization ซึ่งใช้ทองแดงเป็นส่วนประกอบหลัก”

 

 

ด้าน นลิน ฉัตรโชติธรรม นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า

เศรษฐกิจไทยปี 2567 จะเติบโตอยู่ที่ 3.6% จากการบริโภคภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ภาคการส่งออกที่ฟื้นตัว 3.3% จากปีก่อนหน้าจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงจะเป็นปัญหาทางโครงสร้างที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย ด้านภาคการท่องเที่ยวยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

โดยคาดว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวราว 35.2 ล้านคน และเพิ่มเป็น 41 ล้านคนในปี 2568 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงตามจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เพิ่มขึ้นหลังเศรษฐกิจฟื้นตัว สำหรับเทรนด์การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่โดดเด่น ได้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ

 

“การใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐคาดว่าจะเร่งตัวขึ้นหลังมีการประกาศใช้ พ.ร.บ งบประมาณปี 2567 อย่างไรก็ตามต้องติดตามข้อสรุปของการอนุมัติร่าง พ.ร.บ. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท เพื่อโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

แต่หากมาตรการดังกล่าวไม่เกิดขึ้น ซิตี้แบงก์คาดการณ์ว่ารัฐบาลอาจมีมาตรการอื่นๆ ซึ่งอาจใช้งบที่ลดลงและมุ่งเน้นไปยังประชาชนกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง

ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะยังอยู่ในระดับ 1-3% ของกรอบเป้าหมาย ที่ 1.7% ในปี 2567 โดยมีความเสี่ยงขาขึ้นจากปัจจัยความไม่แน่นอนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลก ผลของปรากฏการณ์เอลนีโญต่อปริมาณผลผลิตทางการเกษตร และการทยอยลดการอุดหนุนราคาพลังงานของรัฐบาล

ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะรักษาดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5% จนถึงปี 2568 เพื่อรองรับความไม่แน่นอนในแนวโน้มเศรษฐกิจ รวมถึงรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ” 

 

 

ขณะที่ สิทธิโชค เตชะศิรินุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์ซิตี้คอร์ป ประเทศไทย จำกัด กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนในประเทศไทยว่า

“ตลาดหุ้นไทยปี 2567 ได้รับความสนใจและความเชื่อมั่นจากนักลงทุนมากขึ้น จากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งภาคการส่งออก และภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นฟู 80-90% เทียบกับช่วงก่อนโควิด-19

โดยคาดการณ์ว่าดัชนีหุ้นไทยในปีนี้ (SET Index) อยู่ที่ 1,527 จุด สำหรับธีมการลงทุนที่โดดเด่น ได้แก่ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ที่ให้ผลตอบแทนสูง กลุ่มโรงพยาบาลและธุรกิจด้านการแพทย์ ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งไทยเป็นฐานการผลิตในหลายอุตสาหกรรมโดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า

นอกจากนี้การลงทุนในกลุ่มธุรกิจการบริโภคอุปโภค และโรงกลั่น มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีเช่นกัน”

 


สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย หรือ www.citibank.co.th

[อ่าน 947]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
BAM คว้ารางวัล ESG100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 สะท้อนความมุ่งมั่นสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ADAM Elements แกดจิตไอทีที่ออกแบบมาเพื่อชีวิตยุคดิจิทัล
เอไอเอส เดินเกมใหญ่! ปั้น AIS PLAY ศูนย์รวมคอนเทนต์อันดับ 1 พรีเมียร์ลีกครบฤดูกาล-ไทยลีกดูฟรี
PTG ติดอันดับ Fortune Southeast Asia 500 ต่อเนื่องปีที่ 2 ขยับขึ้นอันดับ 48 สะท้อนการเติบโตยั่งยืน
EGCO Group ปิดดีลเข้าลงทุน 49% โรงไฟฟ้า “Downeast Wind” ในสหรัฐอเมริกา
Krungthai CIO ชู “Income Theme” รับมือเศรษฐกิจผันผวน ชี้โอกาสลงทุนตราสารหนี้ทั่วโลก เสริมพอร์ตสร้างรายได้ระยะยาว
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved