เมื่อโลกเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นทำให้เรื่องของความยั่งยืน (Sustainability) กลายมาเป็นสิ่งที่องค์กรทั่วโลกต่างให้ความสำคัญ และเป็นหัวใจหลักในการดำเนินธุรกิจที่ทุกองค์กรต่างบรรจุไว้ในแผนการดำเนินงาน เช่นเดียวกับ บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ก็เป็นหนึ่งในองค์กรที่ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงและผลกระทบเชิงบวกต่อโลกและสังคมเช่นกัน
‘Market Plus’ จะพาไปเจาะกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของพรูเด็นเชียลฯ กับ ‘บัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พรูเด็นเชียล ประเทศไทย กับ 3 เสาหลักที่จะสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริง
“ความยั่งยืนคือหัวใจสำคัญของธุรกิจและฝังอยู่ในเจตนารมณ์ของพรูเด็นเชียลฯ ที่ว่า ‘ชีวิตมีกัน...ทุกวันดีกว่า’ หรือ For Every Life For Every Future เพราะเป็นความรับผิดชอบของบริษัทฯ ในฐานะผู้นำด้านประกันชีวิต เจ้าของสินทรัพย์ และผู้จัดการสินทรัพย์ ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงและผลกระทบเชิงบวกต่อโลกและสังคม”
คีย์แมนคนสำคัญของพรูเด็นเชียลฯ เกริ่นนำก่อนขยายความว่า ความยั่งยืนเป็นเรื่องที่องค์กรทั่วโลกต่างให้ความสำคัญ เพราะนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงในการดำเนินงาน เพิ่มมูลค่าทางธุรกิจในระยะยาวแล้ว ยังสร้างสัมพันธภาพที่แข็งแกร่งให้เกิดขึ้นในองค์กร ทำให้การปรับปรุงกระบวนการดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญคือการสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่โลก
ดังนั้นกลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล จึงได้วางกลยุทธ์ 3 เสาหลักด้านความยั่งยืน เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติจริงในแผนธุรกิจของภูมิภาคต่างๆ ทั้งเอเชีย แอฟริกา รวมถึงประเทศไทย
เสาหลักที่หนึ่ง
‘การนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการด้านสุขภาพและการเงินที่เข้าถึงได้ง่าย’
หนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจคือ ประเทศไทยมีผู้ที่ถือกรมธรรม์ประกันชีวิตอยู่ประมาณ 38-39% จากสัดส่วนประชากรทั้งหมดของประเทศ นั่นหมายความว่าคนไทยมากกว่าครึ่งยังไม่มีความคุ้มครองใดๆ ในชีวิต
นั่นจึงทำให้พรูเด็นเชียลฯ ให้ความสำคัญในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการด้านการเงินและสุขภาพที่เข้าถึงได้ง่าย เพื่อทำให้ประกันเป็นเรื่องง่ายและเข้าถึงได้กับคนทุกกลุ่ม ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนและเป็นกลางที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงความคุ้มครองสำหรับลูกค้าที่ไม่ได้รับบริการอย่างเพียงพอและในชุมชนที่ขาดแคลนให้มีความคุ้มครองในชีวิตได้ ซึ่งรวมไปถึงการเพิ่มช่องทางออนไลน์ในการเข้าถึงบริการให้ง่ายขึ้นอีกด้วย
“ในแต่ละปีเรามีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องกว่า 10 ผลิตภัณฑ์ มีการปรับให้คนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ราคาไม่แรง ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออก เพื่อทำให้อยู่ในราคาที่คนส่วนใหญ่สามารถได้รับความคุ้มครองได้ และยังเพิ่มช่องทางออนไลน์ให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นด้วย”
นอกจากผลิตภัณฑ์ทางประกันแล้ว พรูเด็นเชียลฯ ยังมีโครงการต่างๆ เพื่อสร้างชุมชนให้แข็งแกร่งผ่านกระบวนการทำงานในแต่ละส่วนธุรกิจและพรูเด็นซ์ ฟาวน์เดชัน เช่น โครงการ ‘การให้ที่ยั่งยืน คือ การให้ที่ส่งต่อได้’ (Give The Future) โดยทุกๆ 1 กรมธรรม์ใหม่จากพรูเด็นเชียลฯ จะส่งต่อให้อีก 1 กรมธรรม์แก่ลูกจ้างของ กทม. ทั้งหมด 51,000 คน คุ้มครองระยะเวลา 1 ปี ทุนประกันรวม 5,100,000,000 บาท ด้วยเล็งเห็นว่าลูกจ้างของ กทม. มีบทบาทสำคัญและเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ต้องทำงานหนักและเสี่ยงต่ออันตราย จึงเป็นบุคคลที่ควรได้รับการดูแลคุ้มครองเป็นอย่างยิ่ง
“นับตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปีนี้ เราได้มอบกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุแก่ลูกจ้างของกรุงเทพมหานครตลอดจนกลุ่มลูกจ้างโรงพยาบาลรัฐมากกว่า 122,000 ราย ทุนประกันรวม 12,200,000,000 บาท ด้วยเล็งเห็นว่ากลุ่มคนเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างสังคมที่เข้มแข็งแต่อาจจะเข้าถึงประกันยากและไม่มีความคุ้มครองใดๆ ในชีวิต”
นอกจากโครงการ Give The Future ที่มอบความคุ้มครองให้แก่กลุ่มคนเปราะบางแล้ว พรูเด็นเชียลฯ ยังมีโครงการเพื่อสังคมในด้านต่างๆ เช่น โครงการชะ-ชิ้ง ที่ส่งเสริมด้านการศึกษา และการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยร่วมกับองค์การยูนิเซฟ อีกด้วย
สำหรับ โครงการชะ-ชิ้ง (CHA-CHING) เป็นโครงการที่ช่วยจุดประกายให้เด็กๆ ทั่วโลกรวมถึงเด็กไทยให้มีความเข้าใจและเรียนรู้ด้านการเงิน โดยได้จับมือกับพรูเด็นซ์ ฟาวน์เดชัน และมูลนิธิจูเนียร์อะชีฟเม้นท์ เพื่อให้ความรู้แก่เด็กๆ ใน 4 แกนสำคัญ คือ การหารายได้ การเก็บออม การใช้จ่าย และการบริจาค
ตัวเลข ณ เดือนมีนาคม 2567 ระบุว่า มีจำนวนนักเรียนที่ได้รับการฝึกอบรมทั้งสิ้น 234,292 คน, ครูที่ได้รับการฝึกอบรม รวมทั้งหมด 15,144 คน โดยมาจากโรงเรียนภายใต้สังกัดสำนักงานเขตการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ จากทั่วประเทศ รวมกว่า 1,000 โรงเรียน
นอกจากนี้ยังสนับสนุนโครงการพัฒนาเด็กปฐมวัยร่วมกับองค์การยูนิเซฟ (Early Childhood Development: ECD) ที่มีเป้าหมายเพื่อผลักดันและสร้างความตระหนักรู้ให้สังคมไทยเห็นความสำคัญของการพัฒนาการเด็กในช่วงวัย 0-6 ปี โดยพรูเด็นเชียลฯ ร่วมกับองค์การยูนิเซฟจัดกิจกรรม ‘Play Together & Learn Together’ ภายใต้แคมเปญ ‘เลี้ยงถูก ลูกดี’ ให้ความรู้กับผู้ปกครองเกี่ยวกับการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กอย่างถูกต้อง และการดูแลแบบตอบสนอง หรือ Responsive Caregiving
บัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พรูเด็นเชียล ประเทศไทย
เสาหลักที่ 2
‘การลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ’
ปัจจุบันพรูเด็นเชียลฯ มีทรัพย์สินในการลงทุนประมาณ 120,000 ล้านบาท โดยพอร์ตฯ ในการลงทุนแบ่งเป็นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากที่สุดกว่า 40% รองลงมาคือลงทุนในหุ้นกู้เอกชน และหุ้น ตามลำดับ
โดยพรูเด็นเชียลฯ จะให้ความสำคัญในการลงทุนที่จะสร้างความยั่งยืนให้กับโลก ผ่านการกระจายการลงทุนในธุรกิจที่มีนโยบายชัดเจนในการลดการปล่อยคาร์บอน โดยโฟกัสในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาทั้งในเอเชียและแอฟริกาเป็นหลัก
“เราจะเลือกลงทุนในบริษัทที่มีนโยบายชัดเจนในการที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งแทบทุกองค์กรเขาต้องการ transition เราจะเข้าไปลงทุนเพื่อช่วยให้เขาเปลี่ยนผ่านได้เร็วและตามเป้าที่ตั้งไว้”
เสาหลักที่ 3
‘การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน’
ภายใต้เสาหลักนี้พรูเด็นเชียลฯ จะเพิ่มขีดความสามารถให้กับพนักงานในการสร้างความยั่งยืนและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในเรื่องความหลากหลาย จริยธรรม การอยู่ร่วมกัน และสร้างการมีส่วนร่วมภายในองค์กร
นอกจากนี้ยังเพิ่มความยั่งยืนในกระบวนการดำเนินงานในเชิงธุรกิจที่รวมไปถึงคู่ค้าและพาร์ตเนอร์ เพื่อสร้างห่วงโซ่คุณค่าอย่างยั่งยืนอีกด้วย
โดยพรูเด็นเชียลฯ ได้วางเป้าหมายด้านความยั่งยืนไว้ว่า ภายในปี 2030 จะลด weighted average carbon intensity (WACI) ให้ได้ถึง 55% และจะบรรลุ Net Zero ภายในปี 2050, สร้างเป้าหมายใหม่ในการลงทุนเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ, เพิ่มสัดส่วนผู้หญิงในทีมผู้นำระดับกลุ่มอย่างน้อย 40% ภายในสิ้นปี 2026 และบุคลากรในระดับผู้จัดการทุกคนต้องมี KPIs ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน ภายในสิ้นปี 2026
“ความยั่งยืนไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดของโลกใบนี้ และธุรกิจก็ไม่สามารถเดินหน้าได้เพียงลำพัง ดังนั้น พรูเด็นเชียล ประเทศไทย จึงมุ่งมั่นที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกแก่โลก ด้วยการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ พร้อมนำกลยุทธ์ 3 เสาหลักแห่งความยั่งยืนสู่การลงมือทำจริง การดำเนินธุรกิจของเราไม่ได้คำนึงถึงแค่ผลกำไร แต่ยังสร้างคุณค่าและความยั่งยืนในระยะยาว เพื่อให้โลกเป็นสถานที่ที่ดีกว่าสำหรับคนรุ่นนี้และรุ่นต่อไป” บัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ กล่าวทิ้งท้าย