ผลกำไรสุทธิครึ่งปี 2567 ของยูโอบียังอยู่เหนือระดับ 3 พันล้านเหรียญสิงคโปร์
07 Aug 2024

กลุ่มธนาคารยูโอบีรายงานผลกำไรหลักสุทธิที่ 3.1 พันล้านเหรียญสิงคโปร์สำหรับครึ่งปีแรกของปี 2567 ซึ่งคงที่เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากรายได้จากค่าธรรมเนียมที่เติบโตสองหลักและการตั้งสำรองสินเชื่อที่ลดลง หากรวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียวที่เกิดจากการซื้อกิจการธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ป กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 2.9 พันล้านเหรียญสิงคโปร์

 

คณะกรรมการจึงประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ 88 เซ็นต์ต่อหุ้นสามัญ คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิอยู่ที่ประมาณร้อยละ 51

 

ในไตรมาส 2 ของปี 2567 ผลกำไรหลักสุทธิของกลุ่มธนาคารยูโอบียังคงที่ที่ประมาณ 1.5 พันล้านเหรียญสิงคโปร์เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน รายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิของไตรมาส 2 ปี 2567 ลดลงร้อยละ 1 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลง แต่กลับปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากสินเชื่อหลายด้านที่เติบโตขึ้นและส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวดีขึ้น รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิสำหรับไตรมาส 2 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน เกือบแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 618 ล้านเหรียญสิงคโปร์ขับเคลื่อนจากการฟื้นตัวของค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการความมั่งคั่งและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับสินเชื่อ รวมถึงค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตที่เติบโตสองหลัก รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยอื่นลดลงร้อยละ 21 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากรายได้จากการบริหารตลาดเงินที่เกี่ยวกับลูกค้าที่แข็งแกร่งขึ้น แต่ถูกจำกัดด้วยกำไรที่ลดลงจากการสัญญาอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและการประเมินมูลค่าการลงทุนที่ลดลง

 

คุณภาพของสินทรัพย์ยังคงมีความยืดหยุ่น โดยอัตราสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ไม่เปลี่ยนแปลงที่ร้อยละ 1.5 และต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ 24 จุด

 

ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับสินเชื่อและการค้าของสายงานธุรกิจขนาดใหญ่ของกลุ่มธนาคารยูโอบีสำหรับไตรมาส 2 ปี 2567 ปรับตัวขึ้นร้อยละ 19 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการสินเชื่อและการทำธุรกรรมที่บันทึกในไตรมาสนี้ที่เพิ่มขึ้น ในปัจจุบัน รายได้จากการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน คิดเป็นประมาณร้อยละ 25 ของรายได้ของสายงานธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งหมด ในขณะที่รายได้ของการให้บริการด้านธุรกรรมทางการเงินคิดเป็นประมาณร้อยละ 53 ของสายงานธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งหมด

 

รายได้จากการบริหารจัดการความมั่งคั่งของสายงานลูกค้ารายย่อยของกลุ่มธนาคารยูโอบีในไตรมาส 2 ปี 2567 ดีดตัวขึ้นร้อยละ 40 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน เนื่องจากยอดขายหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง พันธบัตร และหน่วยลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงบริการประกันภัยธนกิจที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายได้จากค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตเติบโตขึ้นในไตรมาสนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากความเชื่อมั่นและยอดใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง กลุ่มธนาคารยูโอบียังคงมองการไหลเข้าสุทธิของเงินใหม่ในเชิงบวก ส่งผลให้สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการจากลูกค้ากลุ่มมั่งคั่งรวมเพิ่มขึ้นเป็น 1.82 แสนล้านเหรียญสิงคโปร์ซึ่งสูงขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน

 

นอกจากนี้ กลุ่มธนาคารยูโอบียังมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนลูกค้าในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ในเดือนมิถุนายน ยูโอบีได้ร่วมมือกับหน่วยงาน Enterprise Singapore เปิดตัวโครงการ Sustainability-Linked Advisory, Grants and Enablers หรือ SAGE Programme เพื่อช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่กำหนดเป้าผลประกอบการด้านความยั่งยืนและเพื่อให้บริการโซลูชั่นทางการเงินเป็นเรื่องง่ายขึ้น ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ปี 2567 พอร์ตโฟลิโอสินเชื่อการค้าระหว่างประเทศอย่างยั่งยืนของกลุ่มธนาคารยูโอบีเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าเมื่อเปรียบเทียบกับปี ก่อน

 

สารจากประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

มร วี อี เชียง รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารยูโอบี กล่าวว่า "ไตรมาสนี้ กลุ่มธนาคารยูโอบี มีผลประกอบการที่ดี และเรามองเห็นแนวโน้มเชิงบวกสำหรับธุรกิจที่หลากหลายของเรา คุณภาพของสินทรัยพ์ยังคงมีความยืดหยุ่น ในขณะที่งบดุลของธนาคารยังคงแข็งแกร่งจากระดับเงินทุนและฐานะเงินทุนที่ดี

 

“การเติบโตทั่วโลกยังคงได้รับแรงกดดันจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะยังคงมีความยืดหยุ่นในระดับที่ค่อนข้างดี เรามีทัศนคติเชิงบวกเกี่ยวกับศักยภาพระยะยาวของภูมิภาคนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากจากพื้นฐานที่แข็งแกร่งและการไหลเข้าของเงินลงทุนจากต่างประเทศ ในขณะที่บริษัทต่างๆ ได้กระจายธุรกิจห่วงโซ่อุปทานของตน การขยายตัวของแฟรนไชส์ลูกค้าและตำแหน่งในตลาดที่แข็งแกร่งส่งผลให้ยูโอบีมีความพร้อมที่จะคว้าโอกาสในภูมิภาคนี้

 

“เราประสบความสำเร็จในการรวมกิจการในมาเลเซีย อินโดนีเซีย และประเทศไทย และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียวนี้จะลดลงอย่างมากเมื่อเราเดินหน้าสู่การรวมกิจการในเวียดนามในปีหน้า เราจะมุ่งเน้นดึงรายได้และความคุ้มค่าในด้านต้นทุนจากพอร์ตการลงทุนนี้ พร้อมกระชับความสัมพันธ์กับลูกค้าและให้บริการลูกค้าของเราด้วยโซลูชันต่างๆ ที่ครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการความมั่งคั่ง แม้อนาคตอาจจะไม่แน่นอน แต่เราก็มั่นใจในความสามารถของเราในการดำเนินการ ในสภาพแวดล้อมนี้ด้วยแนวทางที่มีระเบียบ”

 

ผลประกอบการทางการเงิน

 

6 เดือนแรกปี 2567 เปรียบเทียบกับ 6 เดือนแรกปี 2566

กำไรหลักสุทธิคงที่ที่ 3.1 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ในครึ่งปีแรกปี 2567 ขับเคลื่อนจากค่าธรรมเนียมที่เติบโตสองหลักและการตั้งสำรองสินเชื่อที่ลดลง หากนับรวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียวแล้ว กำไรสุทธิอยู่ที่ 2.9 พันล้านเหรียญสิงคโปร์

 

รายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิลดลงร้อยละ 2 อยู่ที่ 4.8 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิลดลงเหลือร้อยละ 2.04 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเติบโตเร็วกว่าอัคราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ โดยได้รับการสนับสนุนจากการเติบโตของสินเชื่อที่ร้อยละ 3 รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิเติบโตสองหลักที่ร้อยละ 11 โดยได้รับแรงหนุนจากการให้สินเชื่อและกิจกรรมตลาดทุนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าธรรมเนียมจากการบริหารจัดการความมั่งคั่งที่สูงขึ้นและค่าธรรมเนียมจากบัตรเครดิตที่แข็งแกร่งขึ้นจากแฟรนไชส์ในภูมิภาคที่ขยายตัวมากขึ้น

 

รายได้อื่นๆ ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลงร้อยละ 9 อยู่ที่ 1.0 พันล้านเหรียญสิงคโปร์เนื่องจากกำไรที่ลดลงจากสัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและการประเมินมูลค่าการลงทุนที่ลดลง ในขณะเดียวกัน รายได้จากการบริหารตลาดเงินที่เกี่ยวกับลูกค้าขยายตัวอย่างดีที่ร้อยละ 13 โดยได้รับการสนับสนุนจากความต้องการพันธบัตร หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง และกิจกรรมการป้องกันความเสี่ยงของลูกค้า

 

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานหลักเพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 1 อยู่ที่ 2.9 พันล้านเหรียญสิงคโปร์เนื่องจากกลุ่มธนาคารยูโอบีรักษาวินัยด้านต้นทุนอย่างเข้มงวด ขณะเดียวกันก็ลงทุนเพื่อการเติบโตของแฟรนไชส์และความสามารถด้านดิจิทัล อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้อยู่ที่ร้อยละ 41.8 เงินกันสำรองสำหรับสินเชื่อรวมลดลงร้อยละ 26 เนื่องจากการตั้งสำรองเฉพาะรายและทั่วไปที่ลดลง ขณะที่คุณภาพของสินทรัพย์มีเสถียรภาพ

 

ไตรมาส 2 ปี 2567 เปรียบเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2567

กำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 2 ปรับลดลงร้อยละ 5 อยู่ที่ 1.5 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ หากนับรวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียวแล้ว กำไรสุทธิอยู่ที่ 1.4 พันล้านเหรียญสิงคโปร์

 

รายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 อยู่ที่ 2.4 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ เนื่องจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้น 3 จุด อยู่ที่ร้อยละ 2.05 จากต้นทุนทางการเงินที่ปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับสินเชื่อที่เติบโตขึ้นร้อยละ 2 รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิที่ 618 ล้านเหรียญสิงคโปร์ ในไตรมาสนี้เกือบแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งได้รับจากแรงหนุนจากค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับสินเชื่อที่แข็งแกร่งและผลประกอบการที่ดีขึ้นของกิจกรรมการบริหาร จัดการความมั่งคั่งและบัตรเครดิต รายได้จากการบริหารตลาดเงินที่เกี่ยวกับลูกค้ายังคงรักษาโมเมนตัมไว้ได้จากความต้องการพันธบัตรและหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงของลูกค้ารายย่อย ขณะที่รายได้จากการค้าและการลงทุนอื่นๆ ปรับตัวลดลงจากตัวเลขระดับสูงที่ยอดเยี่ยมในไตรมาสก่อนหน้า

 

อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้หลักยังคงที่ที่ร้อยละ 41.8 เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่ปรับตัวตามระดับรายได้ การตั้งสำรองรวมเพิ่มขึ้นเป็น 232 ล้านเหรียญสิงคโปร์โดยต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อรวมค่อนข้างคงที่ที่ 24 จุด

 

ไตรมาส 2 ปี 2567 เปรียบเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2566

รายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิลดลงร้อยละ 1 ตามส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่ปรับตัวลดลง 7 จุด รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิดีดตัวขึ้นร้อยละ 18 เกือบแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับสินเชื่อและค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการความมั่งคั่งฟื้นตัวจากปีก่อน ขับเคลื่อนจากกิจกรรมสินเชื่อที่ปรับตัวขึ้นและดัชนีความเชื่อมั่นในตลาดที่ดีขึ้น ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตก็มีการเติบโตที่แข็งแกร่งในระดับสองหลักเช่นกัน

 

รายได้จากการบริหารตลาดเงินที่เกี่ยวกับลูกค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 19 อยู่ที่ 216 ล้านเหรียญสิงคโปร์ จากการขายพันธบัตรของลูกค้ารายย่อยและความต้องการในการป้องกันความเสี่ยงที่แข็งแกร่ง รายได้จากการค้าและการลงทุนอื่นๆ ลดลง เนื่องจากกำไรที่ลดลงจากการสัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและการประเมินมูลค่าการลงทุนที่ลดลง ต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อรวมปรับตัวดีขึ้นจาก 30 เป็น 24 จุด เนื่องจากการตั้งสำรองเฉพาะรายของลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศไทยเมื่อปีก่อน

 

คุณภาพของสินทรัพย์

คุณภาพของสินทรัพย์คงที่ โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ที่ร้อยละ 1.5 ณ วันที่ 30 มิถุนายน ปี 2567 การเกิดสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPA) รายใหม่ได้รับการชดเชยจากหนี้สูญรับคืนและการตัดจำหน่ายหนี้สูญ อัตราส่วนเงินสำรองหนี้สูญต่อสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ที่ร้อยละ 98 หรือร้อยละ 214 หากนับรวมหลักประกัน เงินกันสำรองรวมสำหรับสินเชื่อที่มีคุณภาพดีอยู่ในระดับระมัดระวังที่ร้อยละ 0.9

 

เงินทุน ฐานะเงินทุน และสภาพคล่อง

เงินทุนของกลุ่มธนาคารยูโอบียังคงอยู่ในระดับดี โดยอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่หนึ่งที่เป็นส่วนของเจ้าของ (CET1) ปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 13.4 สำหรับไตรมาสนี้ จากการจ่ายเงินปันผลรอบสุดท้ายปี 2566 สภาพคล่องอยู่ในระดับเพียงพอ โดยอัตราส่วนการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องในทุกสกุลเงินเฉลี่ย (LCR) อยู่ที่ร้อยละ 149 และอัตราส่วนการจัดหาเงินทุนสุทธิ (NSFR) อยู่ที่ร้อยละ 118 ซึ่งยังสูงกว่าเกณฑ์กำหนดขั้นต่ำ

 

[อ่าน 1,479]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
TikTok เผยโฉมสุดยอดครีเอเตอร์ทรงอิทธิพลแห่งปี บนเวที TikTok Awards Thailand
มิตซูบิชิ เปิดตัว “ปาเจโร สปอร์ต จีที” รุ่นเริ่มต้น ราคา 1.139 ล้านบาท ชูคอนเซปต์ครบเกินคุ้ม จัดเต็มฟังก์ชันเหนือชั้น
KBank เสริมแกร่ง SC Asset ปักธงพัฒนาคลังสินค้า หนุน 2,500 ล้านบาท ปั้นโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์รวมกว่า 180,000 ตร.ม.
Mac mini M4 vs M4 Pro เลือกรุ่นไหนดี? ชวนเทียบสเปกแบบชัดๆ
เตรียมเปิดตัว “MELAND” World-Leading Indoor Theme Park
MALEE โชว์ผลงาน Q3/68 ทำรายได้ 2,028.6 ล้านบาท 
ดันธุรกิจรับจ้างผลิตโตต่อเนื่อง
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved