3 ภาพใหญ่เศรษฐกิจโลกปี 2025
1.Steady but Slow เศรษฐกิจในประเทศพัฒนาที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ เช่น สหรัฐฯ ยุโรปและญี่ปุ่น มีแนวโน้มเติบโตช้าลง ในขณะที่กลุ่มตลาดเกิดใหม่ เช่น ประเทศในกลุ่มอาเซียนยังเห็นศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่
2.New Easing Cycle เงินเฟ้อทั่วโลกทยอยปรับตัวลง กลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย ส่งผลให้ธนาคารกลางทั่วโลก เริ่มเข้าสู่วัฏจักรการลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ไปเมื่อเดือนกันยายน ส่งสัญญาณการปรับลดต้นทุนทางการเงิน และคาดการณ์ว่าธนาคารกลางทั่วโลกจะยังมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปี 2025
3. Geopolitical Risks นโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศที่ต่างกันระหว่างผู้สมัครเลือกตั้งสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อการค้าโลกที่ต่างกันไป รวมถึงสถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางยังจะยืดเยื้อต่อไป
โอกาสและความท้าทายของประเทศไทย
สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2025 คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวหลังจากได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดของวิกฤตต่าง ๆ ไปแล้ว แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ โดยวิเคราะห์ในแต่ละภาคส่วน ดังนี้
เตรียมพร้อมรับสถานการณ์การค้าแบบ Dual Globalization
สภาพแวดล้อมทางการค้าระหว่างประเทศในปี 2025 อาจถูกแบ่งเป็นสองขั้วชัดเจนมากขึ้น จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เหมือนจะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้สมัครจากรีพับลิกันเป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้ง กําแพงภาษีสินค้าจากจีนอาจถูกขยับเป็น 60% หรือ 4 เท่าจากของเดิม
Dual Globalization หรือโลกที่แบ่งเป็นสองขั้วจากภูมิศาสตร์เศรษฐกิจใหม่ การขยายตลาดและการสร้างเครือข่ายพันธมิตรในตลาดใหม่ ๆ โดยฝั่งยุทธศาสตร์สหรัฐฯ อาจมุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์กับ อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม เข้ามาในห่วงโซ่สหรัฐฯ ส่วนยุทธศาสตร์จีน มุ่งเน้นขยับขยายพื้นที่ไปยังประเทศกําลังพัฒนาอย่างแอฟริกา ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันได้ขึ้นมาเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของจีนแทนสหรัฐอเมริกาแล้ว ส่งผลให้บทบาทของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีความสำคัญและน่าสนใจมากขึ้น จากการเป็นพื้นที่ในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลกในยุคถัดไป
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของจีน เพื่อสร้างความเชื่อมั่น
ปัจจุบันเศรษฐกิจจีนได้รับแรงกดดันโดยเฉพาะจากภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้การจับจ่ายในจีนชะลอตัว ผู้คนเริ่มมีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจลดลง รัฐบาลจีนจึงออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ด้วย 3 มาตรการคือ เพิ่มสภาพคล่องในระบบและปล่อยสินเชื่อกระตุ้นการลงทุน ผ่อนคลายเพื่อเพิ่มกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ปัจจุบันแรงซื้อมีการชะลอตัวลงอย่างมาก และส่งสัญญาณฟื้นตลาดหุ้นจีนที่อยู่ในจุดตกต่ำที่สุดให้ทะยานขึ้นมา อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนยังเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ และพยายามมุ่งเน้นใน อุตสาหกรรมใหม่สามประการ (เทคโนโลยี-พลังงาน-โมเดล) คือ พลังงานสะอาดโดยเฉพาะกลุ่มลิเธียม-ไอออนแบตเตอรี่ โซลาร์เซลล์ เทคโนโลยีขั้นสูง AI นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และ โมเดลธุรกิจแบบยั่งยืน มาเป็นเครื่องมือใหม่ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่แม้ในปัจจุบันยังคงมีสัดส่วนราว 8% ของจีดีพีจีน แต่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น จากการที่จีนมีแนวโน้มลดการอัดฉีดฝั่งอุปทานในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีสัดส่วนใหญ่ถึง 30% ส่งผลให้ตัวเลขเศรษฐกิจจีนในระยะถัดไปอาจขยายตัวได้ราว 3-5% และไม่ได้เติบโตสูงอย่างที่เป็นมาในทศวรรษก่อน
เทรนด์ธุรกิจ 2025 สิ่งต้องรู้สำหรับธุรกิจ SME
ปี 2025 จะเป็นปีที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ธุรกิจไทยจะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก แต่ขณะเดียวกันก็มีโอกาสใหม่ ๆ ที่รอให้เข้าไปคว้า ไม่ว่าจะเป็นการขยายตลาด หรือการปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก สำหรับ SME ต้องคำนึงถึงกลยุทธ์ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมการค้าโลกที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจากแนวโน้มที่สำคัญ ดังนี้
ดังนั้นการปรับตัวและมีความยืดหยุ่นในการทำธุรกิจจะเป็นกุญแจสำคัญในการประสบความสำเร็จในเศรษฐกิจปี 2025 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ ๆ รออยู่ SME ไทยต้องไม่หยุดนิ่ง เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
ที่มา : ข้อมูลจากงาน ttb Global Trade & FX Forum : The Future of Asia Economic Trends and Trade Challenges for Thailand 2025