TERRABKK เปิดผลวิจัย THE MOST POWERFUL BRAND IN REAL ESTATE 2024 and Consumer Insight : The Sense of Luxury and Design for Wellbeing (คุณค่าของความหรูหราและการออกแบบสู่ความเป็นอยู่ที่ดี) เผย กลุ่ม Baby Boomer มีแนวโน้มจะซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ภายใน 3 ปีเพิ่มมากขึ้น ตอบโจทย์สังคมสูงวัย
ขณะที่เทรนด์การพัฒนานวัตกรรมบ้านในปี 2568 ผู้บริโภคให้ความสำคัญ 3 ด้าน คือ บ้านเทคโนโลยี (Technology Home), บ้านรักษ์โลก (Net Zero Carbon Home) และบ้านสุขภาพดี (Healthy Home)
สุมิตรา วงภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด กล่าวว่า งานสัมมนา TERRAHINT BRAND SERIES เป็นงานสัมมนาใหญ่ที่เว็ปไซต์ TerraBKK.com ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 7 แล้ว โดยปีนี้มาในคอนเซปต์ TERRAHINT Brand Series 2024 “Luxury is a necessity in the sustainability era” #ชีวิตติดแกลม เจาะกลยุทธ์การพัฒนาแบรนด์สู่ความลักซ์ชัวรี ตอบโจทย์ยุคแห่งความยั่งยืน จากวิทยากรชั้นนำทั้งในไทยและต่างประเทศร่วมสัมมนา เพื่อเปิดมุมมองใหม่ด้านการสร้างแบรนด์ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้ขึ้นสู่ความลักซ์ชัวรี และตอบโจทย์ยุคแห่งความยั่งยืน
พร้อมการประกาศรางวัล “The Most Powerful Brand in Real Estate 2024” รางวัลแบรนด์อสังหาฯ ทรงพลังสูงสุดประจำปี 2024 จากคะแนนทั้ง 7 ด้าน รวมถึงรางวัลพิเศษ มอบรางวัลโดย พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย
ภายในงานเปิดเวทีสัมมนา ด้วยหัวข้อ “Sustainability Development in Real Estate : Challenges, Opportunities, and the Future for Thailand. เจาะแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอสังหาริมทรัพย์ : ความท้าทาย โอกาส และอนาคตสำหรับประเทศไทย” โดย Dr. Kevin Cheong, Former Commercial (Sales) Director, Sentosa Development Corporation
ตามด้วยวงเสวนา “Is Luxury A Necessity In The Sustainability Era? ยุคแห่งความยั่งยืน ความหรูหราเป็นสิ่งจำเป็นหรือไม่?” โดย Jee Hoong Tan, Hotel Manager Sindhorn Kempinski, จตุพร วงษ์ทอง ผู้ก่อตั้ง Artslonga และนภนิศ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ ผู้บริหารกลุ่มงานสร้างสรรค์ประสบการณ์และกลยุทธ์โครงการ บริษัท สยามพิวรรธน์ จํากัด ดำเนินตลอดรายการโดย นภพัฒน์จักษ์ อัตตนนท์ บรรณาธิการบริหาร WorkpointTODAY
ต่อด้วยการบรรยายเดี่ยวหัวข้อ “Innovation for Sustainable Living นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน” โดย ขยล ตันติชาติวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เมทเธียร์ จำกัด (Metthier)
สำหรับผลวิจัย THE MOST POWERFUL BRAND IN REAL ESTATE 2024 and Consumer Insight : The Sense of Luxury and Design for Wellbeing มาจากผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 2,500 คน ส่วนใหญ่ 80% อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และอีก 20% อาศัยในต่างจังหวัด
ทั้งนี้ ประเด็นที่น่าสนใจจากผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด พบว่าส่วนใหญ่ตีตวามคำว่า “Luxury” ที่นอกเหนือจากความหรูหรา ความร่ำรวย สู่บริบทใหม่ที่บ่งบอกถึงคุณภาพ, ความสมบูรณ์แบบ, ความพิเศษโดดเด่น, ความพิถีพิถัน และความสะดวกสบาย สามารถแบ่งกลุ่มจากไลฟ์สไตล์และทัศนคติ ออกเป็น 4 กลุ่ม คือ
ในด้านแนวโน้มการซื้อบ้าน พบว่า จากผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด มีเพียง 36% ที่คิดว่าจะซื้อบ้านภายใน 3 ปี ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ลดลงต่อเนื่องจากปี 2023 ที่มีผู้ที่คิดว่าจะซื้อบ้านภายใน 3 ปี ราว 42% (จากจำนวน 2,000 คน) สะท้อนกำลังซื้ออสังหาฯของผู้บริโภคที่ลดลง และชะลอการตัดสินใจซื้อหรือเลื่อนการซื้อออกไปนานขึ้น
สอดคล้องกับ Consumer Confidence Index ที่พบว่า ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยในปี 2024 ลดลง ซึ่งคนส่วนใหญ่ขาดความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยในช่วง 12 เดือนข้างหน้า และมองว่าในช่วงนี้ไม่ใช่โอกาสที่ดี ในการซื้อสินค้ามูลค่าสูง อย่างอสังหาฯ หรือรถยนต์
“ปีนี้พบว่ากลุ่ม Baby Boomer มีแนวโน้มจะซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ภายใน 3 ปีเพิ่มมากขึ้น จากเจเนอเรชั่นอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ เพราะส่วนใหญ่กำลังมองหาบ้านใหม่ที่สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนสูงวัย โดยมีพื้นที่ระเบียง ที่สามารถนั่งพักผ่อน ภายใต้บรรยากาศที่เงียบสงบ มีมุมสงบเป็นส่วนตัว และใกล้ชิดธรรมชาติ สอดคล้องกับกลุ่ม Gen X ที่เห็นสัญญาณความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ เพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมสูงวัย ขณะเดียวกันยังต้องการพื้นที่ส่วนกลางเพื่อรองรับการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
สำหรับเทรนด์การพัฒนานวัตกรรมบ้านในปี 2025 เห็นว่าคนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญ 3 ด้าน คือ บ้านเทคโนโลยี (Technology Home) อาทิ ระบบไฟตามช่วงเวลา, ระบบดูแลสุขภาพ เซ็นเซอร์ตรวจจับการล้ม, กระจกอัจฉริยะปรับแสง รวมถึงบ้านรักษ์โลก (Net Zero Carbon Home) อาทิ จุดชาร์จรถไฟฟ้า, Solar Cell, ผังโครงการรองรับน้ำท่วม, วัสดุก่อสร้างป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และบ้านสุขภาพดี (Healthy Home) อาทิ การติดตั้งระบบกรองอากาศและเพิ่มอากาศ, มีการออกแบบให้ป้องกันความร้อนและเสียง และพื้นที่ส่วนกลางมีทางเดินกลางแจ้งระยะทางมากกว่า 400 เมตร”
ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามราว 59% (จำนวน 1,460 คน) ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยภายใน 5 ปี พบว่า กลุ่มนี้มีพฤติกรรมการเลือกซื้อที่เปลี่ยนแปลง โดยหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องราคาเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ บริการหลังการขาย, ระบบรักษาความปลอดภัย, สังคมและสภาพแวดล้อมภายในโครงการ
เมื่อจำแนกจากจำนวนดังกล่าว พบว่า มีความต้องการซื้อบ้านเดี่ยว ราว 86% รองลงมาคือ คอนโดมิเนียม 44% และทาวน์โฮม 24% ตามลำดับ โดยกลุ่มราคาจะอยู่ในช่วงตั้งแต่ น้อยกว่า 3 ล้านบาท คิดเป็น 37%, กลุ่ม 3-5 ล้านบาท คิดเป็น 30% และกลุ่ม 5-7 ล้านบาท คิดเป็น 15% ส่วนกลุ่มมากกว่า 7 ล้าน ถึงมากกว่า 20 ล้านบาท มีสัดส่วนรวมทั้งหมดอยู่ที่ 17%
โดยกลุ่มผู้ที่ตั้งงบประมาณมากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไปมองว่า “พื้นที่รับประทานอาหาร” และ “ห้องน้ำ” เป็นองค์ประกอบสำคัญที่สะท้อนความหรูหรามากกว่ากลุ่มอื่นๆ ขณะที่กลุ่มที่มีงบประมาณมากกว่า 20 ล้านบาทให้ความสำคัญกับ “พื้นที่ส่วนกลาง” และ “พื้นที่สวนในบ้าน” ซึ่งมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราอย่างชัดเจน