สมาคมประกันชีวิตไทย เผยภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตประจำปี 2567 (มกราคม - ธันวาคม) มีเบี้ยประกันภัยรับรวม (Total Premium) อยู่ที่ 653,923 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 3.23% เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยแบ่งเป็น
- เบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ (New Business Premium) 184,331 ล้านบาท (+3.28%)
- เบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป (Renewal Premium) 469,592 ล้านบาท (+3.21%)
ส่งผลให้อัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์อยู่ที่ 83%
ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตปี 67: เทรนด์สุขภาพ หนุนสินค้าใหม่
- กระแสความใส่ใจสุขภาพ: ประชาชนให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสุขภาพและโรคร้ายแรงมากขึ้น สะท้อนผ่านสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพและโรคร้ายแรง (Health+CI) ที่มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 124,786 ล้านบาท (+13.66%)
- ประกันแบบตลอดชีพและสะสมทรัพย์ ได้รับแรงหนุนตาม ทำให้เบี้ยรับรวมของ
- แบบตลอดชีพ (Whole Life) อยู่ที่ 110,777 ล้านบาท (+8.93%)
- แบบสะสมทรัพย์ (Endowment) อยู่ที่ 282,302 ล้านบาท (+0.76%)
- การรักษาฐานลูกค้าเดิม: ช่วยให้สัดส่วนเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป (Renewal Premium) คิดเป็น 72% ของเบี้ยรับรวมทั้งหมด โดยเติบโต +3.2%
ช่องทางขาย: ตัวแทน-แบงก์นำตลาด นายหน้าโตเด่น
- ตัวแทนประกันชีวิต (Agency): เบี้ยรับรวม 346,791 ล้านบาท (+2.32%) คิดเป็นสัดส่วน 53.03%
- ธนาคาร (Bancassurance): เบี้ยรับรวม 245,498 ล้านบาท (+2.67%) คิดเป็นสัดส่วน 37.54%
- นายหน้า (Broker): เบี้ยรับรวม 34,484 ล้านบาท (+11.93%) คิดเป็นสัดส่วน 5.27%
- โทรศัพท์ (Tele Marketing): เบี้ยรับรวม 12,910 ล้านบาท (-5.49%) คิดเป็นสัดส่วน 1.97%
สมาคมฯ ย้ำแนวทาง “การบริหารความเสี่ยงรอบด้าน” ให้บริษัทประกันชีวิตมีฐานะการเงินมั่นคง โดยเฉพาะอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR Ratio) ต้องสูงกว่าเกณฑ์กำกับดูแล (Supervisory CAR) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้เอาประกันภัยสามารถรับความคุ้มครองอย่างครบถ้วนจนสิ้นสุดสัญญา
ปี 68 คาดโตต่อเนื่อง 2-3% เจาะตลาดสุขภาพ-สังคมผู้สูงวัย
สมาคมประกันชีวิตไทยประมาณการอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรวมในปี 2568 อยู่ที่ 2-3% โดยมีปัจจัยบวกหลัก ๆ ได้แก่
- Medical Inflation หรืออัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ที่สูงเฉลี่ย 8-10% ต่อปี ดันความต้องการประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง
- ประชากรสูงวัย (Aging Society): ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ มีความต้องการแผนคุ้มครองระยะยาว โดยเฉพาะแบบตลอดชีพและสะสมทรัพย์
- มาตรการภาครัฐและกฎเกณฑ์ส่งเสริม: การผ่อนคลายกฎระเบียบ การผลักดันนวัตกรรมทางเทคโนโลยี และการใช้ AI เพื่อปรับปรุงกระบวนการขายและบริการหลังการขาย ช่วยขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น
- นโยบายของสมาคมฯ ที่รณรงค์ให้ธุรกิจประกันชีวิตดำเนินงานตามหลัก ESG ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) เพื่อสร้างการเติบโตยั่งยืน
ปัจจัยเสี่ยงและความท้าทายในระยะข้างหน้า
- ความผันผวนเศรษฐกิจโลก และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวในอัตราต่ำ
- อัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยขาขึ้น ส่งผลต่อกำลังซื้อและพฤติกรรมการออม
- มาตรฐานการรายงานทางการเงิน TFRS 17 ที่มีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 2568 อาจกระทบการบริหารงานและรูปแบบบัญชีของบริษัทประกัน
- สงครามการค้า-ความขัดแย้งระหว่างประเทศใหญ่ ส่งผลกระทบต่อภาคการค้า-บริการของไทย และสร้างความผันผวนในตลาด

ธุรกิจประกันชีวิตไทยปี 2567 โชว์ผลงานเติบโต 3.23% จากแรงหนุนของกระแสการดูแลสุขภาพและการรักษาฐานลูกค้ารายเดิม โดยปี 2568 สมาคมประกันชีวิตไทยคาดอุตสาหกรรมยังขยายตัวต่อเนื่องในกรอบ 2-3% ท่ามกลางปัจจัยเสริมทั้งเทรนด์ผู้สูงวัย เงินเฟ้อทางการแพทย์ และมาตรการภาครัฐ อย่างไรก็ดี ภาคธุรกิจต้องเตรียมพร้อมรับมือปัจจัยความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจโลกและกฎเกณฑ์ใหม่ๆ อาทิ TFRS 17 ตลอดจนเร่งนำ ESG มาใช้ในการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนในระยะยาว