MK GROUP ซึ่งเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจร้านอาหารของไทย โดยเฉพาะร้านสุกี้ MK Restaurants ที่มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 60% จากมูลค่าตลาดรวม 23,000 – 25,000 ล้านบาท, ได้เปิดเผยแผนกลยุทธ์ในปีนี้ที่มุ่งเน้นการสร้างคุณค่าใหม่ให้แก่ลูกค้า ผ่าน Value Strategy ที่แบ่งออกเป็น 3 แนวทางหลัก ได้แก่ Value Creation, Value Relationship, และ Value Accessible
ทานตะวัน ธีระโกเมน กรรมการผู้จัดการใหญ่ MK GROUP, กล่าวถึงแผนการในปีนี้ว่า "การที่เรายังคงครองส่วนแบ่งตลาดในอุตสาหกรรมร้านอาหารและสร้างการเติบโตที่มั่นคงในตลาดที่มีการแข่งขันสูงเช่นนี้ มาจากการที่เราตั้งใจเข้าใจและตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ด้วยการพัฒนาและปรับปรุงทั้งสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า"
Value Creation เน้นการสร้างความคุ้มค่าและประสบการณ์ใหม่โดยใช้ Customer Insight หรือการศึกษาความต้องการลูกค้าอย่างละเอียด เพื่อนำมาพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากที่สุด พร้อมเสริมสร้างความคุ้มค่าในการตัดสินใจซื้อผ่านโปรโมชั่นต่างๆ เช่น แคมเปญ Mongkol (มงคล) ในช่วงตรุษจีน และแคมเปญ Duck Lovers ในช่วงวันวาเลนไทน์
ทานตะวัน กล่าวเพิ่มเติมว่า "ความสำเร็จของเราในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้เกิดจากแค่การมองหาผลกำไรเท่านั้น แต่ยังมาจากการใส่ใจในสิ่งที่ลูกค้าต้องการและให้ความสำคัญกับการตอบแทนลูกค้าผ่านประสบการณ์ที่มีความคุ้มค่าและความพึงพอใจ"
Value Relationship มุ่งเน้นการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว โดยการทำการตลาดแบบ Segmentation เพื่อให้การสื่อสารและการบริการตรงตามความต้องการของกลุ่มลูกค้าแต่ละประเภท พร้อมการพัฒนา Customer Experience Management (CEM) เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดตลอดการเดินทาง
Value Accessible จะช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการที่มีคุณภาพได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากการปรับราคาของ MK Buffet เพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น พร้อมเพิ่มเมนูใหม่ที่ตอบรับความต้องการของลูกค้าที่ชื่นชอบการทานบุฟเฟต์
คุณทานตะวัน กล่าวเสริมว่า "เรายังมุ่งเน้นการขยายโอกาสให้ลูกค้าทุกกลุ่มเข้าถึงบริการและสินค้าของเราผ่านช่องทางที่สะดวกมากขึ้น ทั้งในร้านและผ่านการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อทำให้ทุกคนสามารถสัมผัสประสบการณ์ที่ดีที่สุดได้อย่างเท่าเทียม"
นอกจากนี้ MK GROUP ยังมีแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 15 สาขาในประเทศไทย โดยแบ่งเป็น MK Restaurants 5 สาขา, Yayoi 3 สาขา, แหลมเจริญ ซีฟู้ด 5 สาขา, และ HIKINIKU TO COME 2 สาขา. การขยายธุรกิจในต่างประเทศยังคงมุ่งเน้นที่การขยายแฟรนไชส์ใน มาเลเซีย โดยจะมีการเพิ่มสาขาของ แหลมเจริญ ซีฟู้ด อีก 2 สาขา
ทางบริษัทมุ่งมั่นที่จะใช้ AI ในการบริหารจัดการหลังบ้านเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมต้นทุนและลด Food Waste โดยตั้งเป้าลดการสูญเสียอาหารและคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของบริษัทในระยะยาว
การมุ่งสู่ความยั่งยืน ไม่เพียงแค่ในเรื่องของธุรกิจ แต่ยังคำนึงถึงการช่วยเหลือสังคมผ่านการสนับสนุนมูลนิธิตับแห่งประเทศไทย และโรงพยาบาลศิริราช เป็นต้น
โดยรวมแล้วแผนกลยุทธ์นี้จะช่วยให้ MK GROUP เติบโตอย่างยั่งยืนและยังคงเป็นผู้นำในตลาดอาหารและธุรกิจสร้างสรรค์