ศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย จาก AIT ระบุว่า อาคารใหม่ในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่มีมาตรฐานต้านแผ่นดินไหวตามกฎกระทรวงปี 2564 และ มยผ. 1301/1302-61 แล้ว และยังเสนอให้นำเทคโนโลยีเช่น Oil Dampers และระบบดูดซับแรงสั่นสะเทือนจากญี่ปุ่นมาใช้ในไทยมากขึ้น พร้อมเร่งสร้างความรู้ให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือภัยธรรมชาติ
นายอุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริฯ เผยว่า ประสบการณ์ 40 ปีของบริษัทและโครงการแนวสูงกว่า 225 โครงการทั่วประเทศ เป็นบทพิสูจน์ความมั่นคงของอสังหาฯ ไทย โดยสิ่งสำคัญคือ “พลังของทีมงานและพันธมิตร” ที่พร้อมใจเข้าช่วยเหลือลูกบ้านทันที ตั้งแต่ทีมวิศวกร ผู้รับเหมา ทีมลิฟต์ ไปจนถึงบริษัทประกัน
“เราจะไม่หยุดแค่การผ่านวิกฤติ แต่จะใช้โอกาสนี้ยกระดับมาตรฐานทั้งอุตสาหกรรม ด้วยคุณภาพเหนือมาตรฐาน การบริการอย่างต่อเนื่อง และการส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดี”
ด้านบริหารอาคาร: พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ดูแลกว่า 400 โครงการ ระดมทีมตั้ง War Room ทันทีหลังเกิดเหตุ พร้อมใช้ AI และระบบ LIV-24 วิเคราะห์ข้อมูลเรียลไทม์ เพื่อให้การดูแลลูกบ้านปลอดภัยและแม่นยำยิ่งขึ้น
ด้านการออกแบบก่อสร้าง: ผู้เชี่ยวชาญแนะให้ปรับใช้วัสดุก่อสร้างสำเร็จรูปที่แข็งแรงและซ่อมง่าย เช่น ผนังเบาโครงโลหะ รวมถึงการสุ่มตรวจคุณภาพวัสดุหน้างานอย่างจริงจัง
ด้านประกันภัย: วิริยะประกันภัยเผยเตรียมรับมือเคลมจำนวนมาก พร้อมส่งเสริมความรู้เรื่องประกันภัยธรรมชาติให้ประชาชน เพื่อกระจายความเสี่ยงในอนาคต
จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา แสนสิริเร่งปรับปรุงแนวทางใหม่ เช่น คู่มือ Key Check List การออกแบบโครงสร้างให้ยืดหยุ่นกับแรงสั่นไหว ตลอดจนการศึกษาแบบอาคารสูงที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2560 เพื่อนำไปสู่มาตรฐานระดับโลก
ผู้เชี่ยวชาญเห็นตรงกันว่า เหตุแผ่นดินไหวแม้กระทบความเชื่อมั่นในระยะสั้น แต่หากภาคอสังหาฯ ปรับตัวด้วยมาตรฐานใหม่ เทคโนโลยี และบริการหลังการขายที่รัดกุม จะเป็นโอกาสในการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง
“บ้านทุกหลัง อาคารทุกแห่ง ควรเป็นพื้นที่แห่งความสุขและความปลอดภัย” แสนสิริสรุป พร้อมจุดประกายความร่วมมือสู่อนาคตที่ยั่งยืนของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย