ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ชี้ "ความหลากหลายทางชีวภาพ" (Biodiversity) กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในด้าน ESG ที่หลายประเทศโดยเฉพาะกลุ่มสหภาพยุโรปเริ่มบังคับใช้จริงจัง คาดกระทบผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเนื้อสัตว์แปรรูปและอาหารสัตว์ ซึ่งมีมูลค่าส่งออกไปอียูรวมกว่า 60,000 ล้านบาทต่อปี แนะภาคธุรกิจเร่งปรับตัว สู่แนวปฏิบัติด้าน Biodiversity เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันและความเชื่อมั่นจากคู่ค้า
ดร.สุปรีย์ ศรีสำราญ ผู้อำนวยการฝ่าย ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS เปิดเผยว่า เทรนด์เรื่อง Biodiversity กำลังได้รับความสนใจทั่วโลก โดยข้อมูลจาก World Economic Forum ระบุว่าการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกถึง 44 ล้านล้านดอลลาร์ หรือครึ่งหนึ่งของ GDP โลก สะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างระบบนิเวศธรรมชาติกับเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“Biodiversity ไม่ได้หมายถึงแค่การอนุรักษ์สัตว์หายาก แต่หมายรวมถึงความหลากหลายในระดับพันธุกรรม ชนิดพันธุ์ และระบบนิเวศ ซึ่งเป็นหัวใจของความสมดุลในธรรมชาติ และเริ่มเป็นเกณฑ์พิจารณาสำคัญของผู้บริโภคและคู่ค้าในระดับสากล” ดร.สุปรีย์กล่าว
โดยเฉพาะหลังการประชุม COP15 เมื่อปี 2565 ที่นานาประเทศร่วมกันตั้งเป้าหมายปกป้องพื้นที่ธรรมชาติอย่างน้อย 30% ภายในปี 2573 เท่ากับว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป แต่กลายเป็นประเด็นด้านเศรษฐกิจและความยั่งยืนของภาคธุรกิจในระยะยาว
นายปราโมทย์ วัฒนานุสาร นักวิเคราะห์ของศูนย์วิจัยฯ กล่าวว่า ธุรกิจไทยที่พึ่งพาตลาดสหภาพยุโรป เช่น เนื้อสัตว์แปรรูปและอาหารสัตว์ เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงจากกฎระเบียบใหม่ โดยเฉพาะหากใช้วัตถุดิบที่เกี่ยวข้องกับการแผ้วถางป่าหรือทำลายระบบนิเวศ แม้ไม่ใช่ในไทยโดยตรง แต่หากมีการแปรรูปในไทยแล้วส่งออก อาจเสี่ยงถูกระงับการนำเข้า ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
สินค้ากลุ่มดังกล่าวมีมูลค่าการส่งออกไปอียูถึง 6 หมื่นล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นประมาณ 7% ของมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทยทั้งหมด ซึ่งสูงถึง 1 ล้านล้านบาทต่อปี
นายกฤชนนท์ จินดาวงศ์ นักวิเคราะห์ของ Krungthai COMPASS แนะว่า ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัว โดยเริ่มจากการเลือกวัตถุดิบจากแหล่งผลิตที่ยั่งยืน และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่ามาจากพื้นที่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่า พร้อมจัดทำระบบข้อมูลที่โปร่งใสตั้งแต่วัตถุดิบไปจนถึงผู้บริโภค
นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการได้รับการรับรองจากมาตรฐานด้าน Biodiversity รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลตามกรอบ Taskforce on Nature-Related Financial Disclosures (TNFD) ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงด้านธรรมชาติ และตอบสนองต่อข้อเรียกร้องจากทั้งผู้บริโภค นักลงทุน และคู่ค้าระดับโลกได้ดีขึ้น
ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ยังแนะให้ภาคธุรกิจเกษตรและอาหารพัฒนาโครงการเชิงรุกด้าน Biodiversity เช่น เกษตรกรรมเชิงนิเวศ การลดใช้สารเคมี หรือการอนุรักษ์พันธุ์พืชและสัตว์ท้องถิ่น พร้อมเปิดความร่วมมือกับองค์กรวิจัยและพันธมิตรในห่วงโซ่อุปทาน เพื่อยกระดับธุรกิจให้แข่งขันได้บนเวทีโลกอย่างยั่งยืน