หนึ่งในตัวอย่างคือ Innovative Food and Beverage Holding (IFBH) Limited ผู้ผลิตเครื่องดื่มจากไทย ที่เพิ่งจดทะเบียนแบบ Primary Listing บนกระดานหลักของตลาดหุ้นฮ่องกงเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา พร้อมระดมทุนได้กว่า 140 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 4,500 ล้านบาท)
IFBH เป็นหนึ่งในบริษัทกว่า 100 รายจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เลือกตลาดฮ่องกงเป็นฐาน IPO ต่างประเทศ โดยระหว่างปี 2557–2566 มีบริษัทจากอาเซียนถึง 83 รายจากทั้งหมด 163 ราย ที่เลือกจดทะเบียนที่นี่ คิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งหมด (ข้อมูลจาก DealStreetAsia และ HKEX)
หนึ่งในข้อได้เปรียบสำคัญของ HKEX คือ สภาพคล่องสูงและฐานนักลงทุนหลากหลาย โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับตลาดหุ้นจีนผ่านระบบ Stock Connect ที่เปิดให้นักลงทุนจากจีนแผ่นดินใหญ่สามารถซื้อขายหุ้นในฮ่องกงได้โดยตรง ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันพุ่งเกิน 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 1 ล้านล้านบาท
นอกจากการจดทะเบียนแบบ Primary แล้ว HKEX ยังเปิดรับการจดทะเบียนแบบ Secondary Listing โดยเฉพาะกับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย (SET) และอินโดนีเซีย (IDX) ซึ่งได้รับการยอมรับเป็นตลาดที่มีมาตรฐาน (Recognised Stock Exchange)
การจดทะเบียนแบบรองนี้ ช่วยให้บริษัทเข้าถึงนักลงทุนต่างชาติได้มากขึ้น ด้วยต้นทุนต่ำกว่า และมีโอกาสพัฒนาต่อเป็น Primary Listing เพื่อรับสิทธิ์เชื่อมกับระบบ Stock Connect ในอนาคต
นอกจาก IPO แล้ว ตลาดรองของฮ่องกงยังโดดเด่นในด้าน การระดมทุนรอบเพิ่มเติม (follow-on fundraising) โดยในครึ่งแรกของปี 2568 มีมูลค่ารวมกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นหนึ่งในสามของธุรกรรมตลาดทุนทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สะท้อนบทบาทของฮ่องกงในฐานะ “ศูนย์กลางการเงินนานาชาติ” อย่างแท้จริง
ตั้งแต่ปี 2566 HKEX ได้เพิ่มหมวดกฎเกณฑ์ใหม่ เพื่อรองรับธุรกิจ “เทคโนโลยีเฉพาะทาง” เช่น AI พลังงานสะอาด และวัสดุนวัตกรรม ซึ่งช่วยเสริมระบบนิเวศสำหรับธุรกิจกลุ่ม new economy ให้เติบโตและดึงดูดนักลงทุนได้มากขึ้น
การผสมผสานระหว่างกฎระเบียบที่ทันสมัย ระบบเชื่อมโยงกับจีน และฐานนักลงทุนระดับโลก ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงกลายเป็นจุดหมายสำคัญสำหรับบริษัทไทยที่ต้องการยกระดับสู่เวทีสากลผ่าน IPO และการระดมทุนระยะยาว