Paul Smith (พอล สมิธ) ภายใต้การบริหารงานของ Central Marketing Group หรือ CMG ในเครือเซ็นทรัล รีเทล สานต่อพันธกิจของแบรนด์ เปิดแฟล็กชิพสโตร์แห่งใหม่ของประเทศไทย ณ ชั้น M ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ (EMQUARTIER) โดยเปิดให้บริการในวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 นับเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ความสำเร็จของ Paul Smith ในประเทศไทย
ประเทศไทยนับเป็นอีกหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่เหล่าแฟชั่นแบรนด์ชั้นนำเลือกมาเปิดตลาดในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้จากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องของแบรนด์แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ชั้นนำ โดยในช่วงปีที่ผ่านมากลุ่มสินค้าแฟชั่นในประเทศไทยมีการขยายตัวอย่างมาก โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มพรีเมี่ยมและลักซูรีที่มีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่และการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพด้านกำลังซื้ออันแข็งแกร่งของนักช้อปทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นที่จับตาของการเป็น “Luxury Hub of South East Asia” แห่งใหม่ของภูมิภาค ซึ่งคาดการณ์ว่า ในปีนี้ตลาดแฟชั่นพรีเมี่ยมและลักซูรีของไทยอาจมีมูลค่าสูงถึง 40,000 ล้านบาท และจะเติบโตจากปีที่แล้วเฉลี่ย 2.79%
ด้วยเหตุนี้ Paul Smith เดินหน้ารุกตลาดลักชูรีไทย ด้วยการเปิดแฟล็กชิพสโตร์แห่งที่ 2 ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาพร้อมสินค้าที่ครบครันทั้งเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายไปจนถึงของแต่งบ้าน โดยเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568
สำหรับร้านใหม่ของ Paul Smith ออกแบบภายใต้แนวคิด “พื้นที่ที่เล่าเรื่องแบรนด์ผ่านงานศิลปะ” โดยสะท้อนตัวตนอันมีชีวิตชีวาของ Paul Smith ผ่านทุกองค์ประกอบการออกแบบ ทั้งวัสดุที่เลือกใช้ งานตกแต่งที่แฝงลูกเล่น ไปจนถึงบรรยากาศที่ชวนให้มาสัมผัสประสบการณ์แฟชั่นในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยบริเวณหน้าร้านโดดเด่นด้วย façade สีแดง พร้อมตกแต่งอย่างมีเสน่ห์ด้วยภาพวาดลายเส้น (doodles) ของเซอร์พอล สมิธ ที่ถูกสลักลงบนแผ่นหินปูน เติมความมีชีวิตชีวาให้กับพื้นที่ภายนอกได้อย่างลงตัว ส่วนภายในร้านมีไฮไลต์สำคัญ ได้แก่ ฉากสี่เหลี่ยมขนาด 3 x 3 เมตรที่ตั้งอยู่บริเวณกลางร้าน ซึ่งเทียบเท่ากับขนาดของร้านแรกในเมืองนอตติงแฮม ออกแบบโดย Eileen Grey นักออกแบบชื่อดัง เพื่อสื่อถึงจุดเริ่มต้นอันเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ของแบรนด์ Paul Smith
นอกจากนี้ เซอร์พอลยังได้เพิ่มลูกเล่นที่เปี่ยมไปด้วยความสนุกสนาน ผ่านกระจก “Fun House Mirror” ที่สั่งทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับสาขานี้โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นกระจกแบบเดียวกับที่ตั้งอยู่ในออฟฟิศของเขา ณ กรุงลอนดอน เพิ่มเสน่ห์เฉพาะตัวให้กับพื้นที่ได้อย่างมีอารมณ์ขัน และอีกหนึ่งดีเทลที่สะท้อนตัวตนแบบอังกฤษของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน คือผนังที่ตกแต่งด้วยโปสเตอร์เพลงสไตล์วินเทจจากวงดนตรีโปรดของเซอร์พอล ไม่ว่าจะเป็น the Rolling Stones หรือ Oasis ซึ่งจัดวางไว้อย่างมีสไตล์บริเวณห้องลองเสื้อ เติมบรรยากาศกลิ่นอายดนตรีอังกฤษเข้าไปอย่างลงตัว
ด้านเฟอร์นิเจอร์ภายในร้านได้ผสมผสานเฟอร์นิเจอร์วินเทจสั่งทำพิเศษเข้ากับงานออกแบบร่วมสมัยอย่างลงตัว อาทิ เก้าอี้เลานจ์วินเทจจากอิตาลียุค 1970 ที่หุ้มด้วยผ้าจากคอลเลกชัน Paul Smith Maharam และโต๊ะจัดแสดงกลางร้านซึ่งออกแบบโดย Renato Zevi นอกจากนี้ ยังโดดเด่นด้วยบริเวณ Paul Smith art walls แสดงผลงานศิลปะที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดโดยศิลปินชาวอังกฤษ Nigel O’Neil หรือโปสเตอร์นิทรรศการของ Pablo Picasso ซึ่งช่วยหลอมรวมโลกของแฟชั่นและศิลปะให้เป็นหนึ่งเดียว มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งในรูปแบบใหม่ที่ยังไม่เคยมีมาก่อน
สำหรับสินค้าที่จำหน่ายภายในร้าน Paul Smith สาขานี้มีครบทุกไลน์ ตั้งแต่แฟชั่นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายชาย-หญิง แอ็กเซสซอรีต่างๆ ทั้งกระเป๋าและรองเท้า ไปจนถึงของแต่งบ้าน อย่าง เครื่องหอมหลากหลายกลิ่นด้วยการตกแต่งของร้านในคอนเซ็ปต์พิเศษบวกกับสินค้าที่ครบครันทำให้ช็อป Paul Smith สาขานี้ไม่ได้เป็นเพียงจุดจำหน่ายสินค้า แต่เป็น “ประสบการณ์การช้อปปิ้งในรูปแบบใหม่” ที่สมบูรณ์แบบและชวนทุกคนให้มาสัมผัสกับแบรนด์ Paul Smith อย่างแท้จริง
การเปิดตัวช็อปใหม่ของ Paul Smith ครั้งนี้ ไม่เพียงแต่แสดงถึงการเติบโตและเป็นบทพิสูจน์ความสำเร็จของแบรนด์ แต่ยังสะท้อนถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย Paul Smith แฟล็กชิพสโตร์แห่งที่ 2 เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ณ อาคาร C ชั้น M ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์