Sea (ประเทศไทย) ผู้ ให้บริการอินเทอร์เน็ตแพลตฟอร์มชั้นนำ ได้แก่ Garena, Shopee และ Moneeเดินหน้าจัดโครงการ “Women Made: Girl in STEM” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยร่วมกับพันธมิตรหลัก ได้แก่ InsKru, สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ a-chieve ผ่านกิจกรรม one-day camp ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนหญิงระดับมัธยมศึกษาและคุณครูได้เรียนรู้ ลงมือทำ และแลกเปลี่ยนความคิด กับผู้มีประสบการณ์ในวงการ STEM อย่างใกล้ชิด
อาชีพในกลุ่ม STEM (Science,Technology, Engineering and Mathematics) จัดว่าเป็นกลุ่มอาชีพแห่งอนาคตที่มีศักยภาพเติบโตสูง และมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและเศรษฐกิจในหลากหลายอุตสาหกรรมทั้งในระดับประเทศและระดับโลก อย่างไรก็ตามปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเพศยังคงเห็นได้ชัดในสายอาชีพนี้ จากรายงาน Global Gender Gap Report 2025 โดย World Economic Forum ระบุว่า ผู้หญิงมีสัดส่วนเป็น 28.2% ของแรงงานทั้งหมดทั่วโลกที่ทำอาชีพสาย STEM และมีเพียง 1 ใน 10 คน เท่านั้นที่สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในสายงาน STEM ได้ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับอาชีพนอกกลุ่ม STEM ซึ่งผู้หญิงมีสัดส่วนสูงถึง 47.3% ของแรงงานทั้งหมดทั่วโลก และมีโอกาสเป็นผู้บริหารถึง 1 ใน 4 คน
โดยในประเทศไทย ผู้หญิงที่สำเร็จการศึกษาในสาย STEM ยังคงมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับผู้ชาย สะท้อนกรอบความคิดของสังคมที่มีมาเนิ่นนานในระบบการศึกษาและตลาดแรงงานไทยว่าผู้ที่สนใจอาชีพ STEM เป็นผู้ชาย และผู้ชายมีความเหมาะสมกับอาชีพดังกล่าวมากกว่า แม้มีงานวิจัยชี้ว่าเด็กหญิงระดับประถมมีความสนใจด้าน STEM ไม่ต่างจากเด็กชาย แต่ความสนใจกลับลดลงเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นอันเนื่องจากปัจจัยจากโครงสร้างสังคม อคติทางเพศ และการขาดแบบอย่าง เป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เด็กผู้หญิงจำนวนมากไม่กล้าก้าวสู่เส้นทางนี้อย่างเต็มศักยภาพ
พุทธวรรณ สุภัทรนันท์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร Sea (ประเทศไทย) กล่าวว่า
“STEM เป็นกลุ่มอาชีพที่มีความสำคัญต่อการสร้างนวัตกรรม ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และการนำมาประยุกต์ใช้เพื่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก ดังนั้น Sea (ประเทศไทย) สานต่อโครงการ Women Made: Girl in STEM เป็นปีที่สอง เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนผู้ที่มีความสนใจสามารถก้าวต่อไปบนเส้นทางนี้อย่างมั่นใจและมองเห็นทางเลือกที่หลากหลายในการเรียนและประกอบอาชีพต่อไป ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นเพศใดก็ตาม นอกจากนี้ เรายังต้องการส่งเสริมบทบาทครูในฐานะผู้สร้างแรงบันดาลใจในห้องเรียน ให้เด็กนักเรียนทุกคนเล็งเห็นความน่าสนใจของสายอาชีพ STEM และสามารถทำให้องค์ความรู้ STEM เป็นเรื่องสนุก เข้าใจง่าย และใกล้ตัว”
ฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายบริการทางวิชาการและการประเมินหลักสูตรด้านพัฒนากำลังคน สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า
“ทักษะด้าน STEM ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เนื้อหาทางวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยี แต่คือทักษะในการคิดวิเคราะห์ และแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเตรียมคนรุ่นใหม่ให้พร้อมสำหรับอนาคต สวทช. ในฐานะองค์กรที่ขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์เพื่อสังคม เชื่อมั่นว่าเยาวชนหญิงมีศักยภาพเต็มเปี่ยม หากพวกเธอได้รับโอกาสในการทดลอง ลงมือเรียนรู้ และได้เห็นต้นแบบที่เป็นแรงบันดาลใจ โครงการนี้จึงเป็นพื้นที่สำคัญที่เปิดโลกทัศน์ให้เห็นว่า ‘ผู้หญิงสามารถเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมได้’ และยังตอกย้ำบทบาทของครูในฐานะกลไกสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของนักเรียนหญิงให้เติบโตในสาย STEM อย่างมั่นใจ เท่าเทียม และยั่งยืน”
ชลิพา ดุลยากร ผู้ร่วมก่อตั้ง insKru กล่าวเสริมบทบาทของครูว่า
“ครูคือคนที่มีอิทธิพลสำคัญในการมอบทางเลือกที่หลากหลายและจุดประกายให้กับนักเรียน โครงการนี้ไม่ได้แค่สร้างแรงบันดาลใจให้เด็กผู้หญิง แต่ยังเปิดพื้นที่ให้ครูได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และช่วยเสริมพลังให้ครูมี วิธีคิดและแนวทางในการแนะแนวสาขา STEM ให้เข้าถึงง่ายและเข้าใจนักเรียนมากขึ้น เราภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบกิจกรรมที่เชื่อมโยงครูและนักเรียนในโครงการนี้ เพราะถ้าเราสร้าง ‘ห้องเรียนที่ปลดล็อก’ ได้มากพอ เส้นทางในสาย STEM สำหรับเด็กผู้หญิงจะไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
โครงการในปีนี้มุ่งเน้น “การปลดล็อกศักยภาพ” ของเยาวชนหญิงในสาขา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) ผ่านกิจกรรม Day camp ที่จัดขึ้น ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร จ.ปทุมธานี โดยมีผู้เข้าร่วม 183 คน แบ่งเป็นนักเรียนระดับมัธยมศึกษาจำนวน 138 คน และคุณครูจำนวน 45 คน ซึ่งตลอดทั้งวัน ผู้เข้าร่วมจะได้สัมผัสประสบการณ์การเรียนรู้เชิงลึกอย่างหลากหลาย ผ่านกิจกรรมไฮไลต์ 5 รูปแบบ ที่ออกแบบมาเพื่อจุดประกายและส่งเสริมศักยภาพของนักเรียนและครูแนะแนวในสายอาชีพ STEM อย่างครบวงจร
เริ่มต้นด้วย Panel Session วงเสวนาจากรุ่นพี่ผู้หญิง ที่ทำงานจริงในสาย STEM ในหัวข้อ “Let Girl in STEM ” ถ่ายทอดเส้นทางการเรียนและทำงาน พร้อมแบ่งปันมุมมองที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเรียนและครู โดยมีผู้ร่วมเสวนา อาทิ ภวิษย์พร เจียรประเสริฐ (ผู้จัดการอาวุโสด้าน Game Operations จาก Garena), สิริยากร จันทหาร (Air Traffic Controller) และ ผศ.ดร.สถาพร งามอุโฆษ (จุฬาฯ / ผู้ก่อตั้ง “ทานดี อินโนฟูด”)
จากนั้น นักเรียนได้เข้าร่วม Workshop “นักสร้างนวัตกรรมอาหาร” โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่เปิดโอกาสให้ออกแบบ “นวัตกรรมอาหารเชิงวิทยาศาสตร์” โดยใช้วัตถุดิบใกล้ตัว ผสานทักษะ STEM กับความคิดสร้างสรรค์ ฝึกคิด วิเคราะห์ และทำงานเป็นทีมในบริบทจริง ขณะที่ฝั่งครู ก็ได้พัฒนาแนวทางการสอนใน Demo Class: STEM ใกล้ตัว โดย “ครูมิก” พรธรรมมิก นามแดง ซึ่งนำเสนอคลาส STEM ที่สนุก เข้าถึงง่าย และเชื่อมโยงได้กับชีวิตประจำวัน พร้อมแลกเปลี่ยนเทคนิคการสอนกับครูผู้ร่วมโครงการ
และเพื่อสร้างแรงบันดาลใจเพิ่มเติม นักเรียนได้เข้าร่วมกิจกรรม Human Library โดยทีม a-chieve ที่ชวนเปิดบทสนทนาแบบใกล้ชิดกับต้นแบบอาชีพจริงกว่า 20 สายอาชีพ เช่น Game Developer, AI Engineer, นักวิเคราะห์ข้อมูล และนักชีวเวชศาสตร์ เพื่อเรียนรู้ “เส้นทางจริง–ทักษะจริง–งานจริง” ก่อนจะปิดท้ายวันด้วย กิจกรรม “จดหมายบ่ายวันศุกร์” โดย InsKru เวิร์กช็อปสะท้อนความคิดผ่านการเขียน “จดหมายถึงตัวเอง” เพื่อทบทวนแรงบันดาลใจที่ได้รับ พร้อมวางเป้าหมาย และส่งต่อพลังบวกกลับไปยังโรงเรียนและชุมชน
เสียงสะท้อนจากนักเรียนและครูที่เข้าร่วมกิจกรรม ตอกย้ำความสำเร็จของโครงการอย่างเป็นรูปธรรม นางสาวธนภรณ์ ดาศรี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวิสุทธิกษัตรี จ.สมุทรปราการ กล่าวถึงความประทับใจเมื่อได้พบกับต้นแบบอาชีพจริงว่า “การได้พูดคุยกับรุ่นพี่ในสาย STEM ทำให้เรารู้จักสายอาชีพที่สนใจมากขึ้น และสามารถวางแผนเส้นทางสู่อนาคตได้ ที่สำคัญยังช่วยปลดล็อกความกลัวในการก้าวสู่ชีวิตผู้ใหญ่ และสร้างความมั่นใจในการเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ”
ด้าน ชวิศา เอี่ยมวนานนทชัย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ปทุมธานี กล่าวเพิ่มเติมว่า
“กิจกรรมนี้ไม่เพียงต่อยอดความสนใจในการศึกษาต่อสายวิทยาศาสตร์สุขภาพ แต่ยังเป็นแรงผลักดันสำคัญ เมื่อได้เห็นรุ่นพี่ผู้หญิงประสบความสำเร็จในสายอาชีพ STEM ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า ผู้หญิงก็สามารถเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเส้นทางอาชีพนี้ได้เช่นกัน”
ยิ่งไปกว่านั้น การเสริมสร้างความรู้ให้บุคลากรทางการศึกษา ยังเป็นการขยายผลความสำเร็จในวงกว้าง เพราะครูเปรียบเสมือนประตูแห่งโอกาสให้นักเรียนได้ก้าวสู่เส้นทางการศึกษาและอาชีพที่สนใจได้อย่างเหมาะสม สะท้อนผ่านเสียงของครูผู้เข้าร่วมกิจกรรมในโครงการนี้ ณัฐกานต์ รัตนสังข์ คุณครูจากโรงเรียนอุตรดิตถ์ดรุณี จ.อุตรดิตถ์ และ เมธา โพธิ์พะเนาว์ คุณครูจากโรงเรียนสุรวิวัฒน์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จ.นครราชสีมา ต่างสะท้อนมุมมองไปในทิศทางเดียวกันว่า
“กิจกรรมนี้สร้างประโยชน์อย่างยิ่งทั้งต่อนักเรียนและครู ไม่เพียงช่วยเติมเต็มความรู้จักอาชีพที่น่าสนใจเท่านั้น แต่ยังได้เรียนรู้ทักษะการสอนที่สามารถนำไปต่อยอดพัฒนาการเรียนการสอน และบูรณาการเป็นกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
“ความหลากหลายสามารถส่งเสริมนวัตกรรมและมุมมองใหม่ๆ ในทุกสายอาชีพ ดังนั้น การส่งเสริมให้เยาวชนทุกคนสามารถต่อยอดความสนใจของตนและเห็นโอกาสในโลกของ STEM ได้โดยไม่มีเรื่องเพศมาปิดกั้น จึงเป็นเป้าหมายสำคัญที่โครงการ “Women Made: Girl in STEM 2025” ต้องการสร้างในสังคมไทย ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และการศึกษา ในการเปิดโอกาสให้เยาวชนทุกคนได้ค้นพบศักยภาพของตนเองอย่างเท่าเทียม เพราะคนทุกคนคือรากฐานสำคัญของการสร้างสังคมนวัตกรรมที่ยั่งยืน” พุทธวรรณ กล่าวสรุป