การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของ ดุสิตธานี (DUSIT) กำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด เมื่อคณะกรรมการดุสิตธานี มีมติแต่งตั้ง นายชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ ขึ้นนั่งควบตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม (Group CEO) ต่อจาก นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ที่ขอเกษียณก่อนครบวาระ เพื่อรับบทบาทใหม่ในฐานะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล
แม้เป็นการเปลี่ยนผู้นำระดับสูงในจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อ แต่ฝ่ายบริหารย้ำว่า “ทุกอย่างยังเดินหน้าตามรากฐานเดิมที่ถูกวางไว้อย่างมั่นคง” ทั้งโครงการลงทุนขนาดใหญ่และแผนการพลิกผลประกอบการเข้าสู่บวกในปี 2569
นายชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี กล่าวว่า “บริษัทรู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจที่ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ได้รับโอกาสอันสำคัญในการทำงานเพื่อประเทศชาติ พร้อมขอบคุณในความทุ่มเทและวิสัยทัศน์ที่ได้วางรากฐานให้กลุ่มดุสิตธานีเติบโตอย่างแข็งแกร่งตลอดที่ผ่านมา เราพร้อมต้อนรับการกลับมาเสมอ และขออวยพรให้เธอประสบความสำเร็จในภารกิจอันทรงเกียรติ เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนอย่างยั่งยืน”
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ กล่าวว่า “ตลอดเกือบ 10 ปีที่ดำรงตำแหน่งซีอีโอดุสิตธานี ถือเป็นเกียรติที่ได้มีส่วนผลักดันแบรนด์ไทยสู่เวทีโลก ดิฉันขอขอบคุณผู้ถือหุ้น กรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน ลูกค้า และคู่ค้าที่ร่วมฝ่าฟันวิกฤติและสร้างการเติบโตให้บริษัทอย่างแข็งแกร่ง แผนการดำเนินธุรกิจในทุกเสาหลัก ทั้งโรงแรม การศึกษา อาหาร อสังหาริมทรัพย์ รวมถึงโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค มูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท ยังคงเดินหน้าตามรากฐานที่วางไว้อย่างมั่นคง ทีมบุคลากรคุณภาพจะเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนต่อไป
สิ่งที่ดิฉันส่งต่อให้ผู้บริหารและพนักงาน คือการเติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของดุสิตธานี ไม่ว่าปัจจัยท้าทายใดๆ โครงสร้างองค์กร ธุรกิจ และการเงินจะรองรับได้อย่างมั่นคง ดิฉันเชื่อมั่นว่าดุสิตธานีจะยืนหยัดเป็นแบรนด์ไทยระดับโลกได้อย่างยั่งยืน”
ในเชิงตัวเลข ดุสิตธานี ยังมีความท้าทาย โดยบันทึกผลขาดทุนสะสมกว่า 1,000 ล้านบาท และงดจ่ายปันผลตลอด 5 ปีที่ผ่านมา แต่ในทางกลับกัน รายได้รวมเพิ่มสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จาก 5,370 ล้านบาท (ปี 2557) สู่ 11,204 ล้านบาท (ปี 2567) และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
จุดเปลี่ยนสำคัญที่จะสะท้อนชัดในปี 2569 คือ การโอนโครงการ Dusit Residences มูลค่ากว่า 16,000 ล้านบาท ซึ่งขายไปแล้วกว่า 90% คาดว่าปี 2569 จะเป็นปีแห่งการโอนหนาแน่น คิดเป็นกว่า 80% ของยูนิตทั้งหมดราว 400 ยูนิต ขณะเดียวกัน ธุรกิจโรงแรมกว่า 50 แห่งทั่วโลกก็จะทยอยสร้างรายได้เสริม
ชนินทธ์ โทณวณิก กล่าวว่า “สิ่งที่เราเผชิญในช่วงโควิด-19 หรือการลงทุนโครงการใหญ่ ไม่ได้ทำให้ดุสิตธานีอ่อนแอ แต่กลับทำให้เราแข็งแรงขึ้น วันนี้การโอนยูนิตและการเปิดโรงแรมใหม่กำลังจะสร้างรายได้ก้อนใหญ่ ทำให้เรามั่นใจว่าผลประกอบการปี 2569 จะเป็นจุดเริ่มต้นของกำไรครั้งประวัติศาสตร์ขององค์กร”
กว่า 10 ปีที่ผ่านมา ดุสิตธานี ไม่ได้เป็นเพียงเครือโรงแรม แต่ขยายพอร์ตธุรกิจสู่ 5 ธุรกิจหลัก ได้แก่
ผู้บริหารกล่าวว่า “เราสร้าง Balance ของพอร์ตธุรกิจให้หลากหลาย ลดการพึ่งพาโรงแรมเพียงอย่างเดียว เพื่อให้โครงสร้างแข็งแรงพอรับแรงกระแทกจากวิกฤตในอนาคต”
แม้ตัวเลขกำไรสุทธิยังไม่กลับมา แต่ ดุสิตธานี ยังคงได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ BBB- แนวโน้มคงที่ โดย ทริสเรทติ้ง และคว้ารางวัลระดับนานาชาติ เช่น Michelin Key และ Travel + Leisure Luxury Awards สะท้อนถึงความน่าเชื่อถือและการยอมรับในเวทีโลก
บริษัทให้ความสำคัญกับบุคลากรกว่า 20,000 คนทั่วโลก โดยช่วงโควิด-19 ไม่เคยมีนโยบายปลดพนักงาน แต่กลับลงทุนต่อเนื่องใน “ทุนมนุษย์” เพื่อให้พร้อมฟื้นตัวเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย
การเปลี่ยนผ่านจาก ศุภจี สู่ ชนินทธ์ จึงไม่ใช่การเริ่มต้นใหม่ แต่เป็น การส่งไม้ต่อบนรากฐานที่แข็งแรง เพื่อก้าวสู่ระยะต่อไปของการเติบโต ไม่เพียงในแง่รายได้และกำไร แต่รวมถึง คุณค่าที่ส่งต่อสู่สังคม และการยืนหยัดในฐานะแบรนด์ไทยที่เป็นที่ยอมรับบนเวทีโลก
ดุสิตธานีพิสูจน์ให้เห็นว่า “ความท้าทายทางการเงิน” ไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงของศักยภาพองค์กร หากแต่เป็นเพียงช่วงรอยต่อก่อนการเติบโตครั้งใหม่ ภายใต้รากฐานที่แข็งแรง การลงทุนเชิงกลยุทธ์ และการสร้างคนที่พร้อมขับเคลื่อนแบรนด์ไทยสู่เวทีโลก
นี่คือช่วงเวลาที่ดุสิตธานีกำลังจะเปลี่ยน “ภาระขาดทุน” ให้กลายเป็น “พลังเติบโต”
ลิงค์ข่าวที่เกี่ยวข้อง : https://www.marketplus.in.th/content/detail.php?id=35454
ลิงค์ข่าวที่เกี่ยวข้อง : https://www.marketplus.in.th/content/detail.php?id=35218