ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก สัญญาณจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กำลังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดการเงิน โดย ฮั่วเซ่งเฮง ประเมินว่า การลดดอกเบี้ยรอบใหม่ซึ่งอาจเริ่มจากการประชุม 16–17 กันยายน 2568 จะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนราคาทองคำรอบใหญ่ หนุนให้สิ้นปีแตะ 3,780 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือราว 56,000 บาท/บาททอง
การผ่อนคลายดอกเบี้ยจะช่วยลดต้นทุนการถือครอง กดดันดอลลาร์ให้อ่อนค่า และเพิ่มแรงซื้อในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย อีกทั้งธนาคารกลางหลายประเทศยังคงเดินหน้าซื้อทองคำเชิงยุทธศาสตร์ ยิ่งตอกย้ำภาพทองคำในฐานะ “หลักประกันความมั่นคงทางการเงิน”
บนเวที Thailand Gold Forum 2025 นายธนรชัต พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง ประกาศวิสัยทัศน์ยกระดับอุตสาหกรรมทองคำไทยสู่ศูนย์กลางอาเซียน ผ่าน 3 เสาหลักเชิงกลยุทธ์ ได้แก่
มาตรฐาน–ความโปร่งใส
ตั้งแต่ระบบตรวจสอบย้อนกลับ
การขนส่งที่เชื่อถือได้
การคุ้มครองผู้บริโภค
ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน
ระบบยืนยันตัวตนดิจิทัล (Digital ID)
ธุรกรรมเรียลไทม์
ระบบ KYC เชื่อมต่อฐานข้อมูล ปปง.
การชำระเงินออนไลน์ 24 ชั่วโมง
ความร่วมมือเชิงระบบ
จัดตั้ง Self-Regulatory Organization (SRO) ร่วมกับสมาคมค้าทองคำ
บังคับมาตรการสำรองเงินสด–ทองขั้นต่ำ
ร้านทองออนไลน์ต้องมีหน้าร้านจริงและทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ
นายธนรชัตย้ำว่า หัวใจสำคัญคือ “ความเชื่อมั่นในระบบ” ที่จะทำให้อุตสาหกรรมไทยก้าวสู่มาตรฐานสากล และสร้างฐานที่มั่นคงในการแข่งขันระดับภูมิภาค
ไม่เพียงแต่ตลาดโลกที่เป็นบวก ภาพรวมในประเทศยังสะท้อนความต้องการที่เพิ่มขึ้นชัดเจน โดย ความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองในไทยปีนี้ขยายตัวกว่า 25–38% เมื่อเทียบปีก่อน ปัจจัยหนุนมาจากทั้งการลงทุนเก็งกำไรและการออมระยะยาว
ฮั่วเซ่งเฮงมองว่าตลาดภายในยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อผู้เล่นรายใหญ่สามารถสร้างแพลตฟอร์มเชื่อมโยงทั้งออฟไลน์และออนไลน์ สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกและโปร่งใส
ในมุมมองการลงทุน ฮั่วเซ่งเฮงชี้ว่า นักลงทุนควร กำหนดเป้าหมายชัดเจน และเลือกกลยุทธ์ที่สอดคล้อง เช่น
ระยะสั้น: ใช้ดอลลาร์ทำกำไรช่วงเงินบาทแข็งค่า หรือเข้าซื้อเก็งกำไรในจังหวะปรับฐาน
ระยะยาว: กระจายความเสี่ยงและทยอยสะสม เพื่อลดความผันผวนของต้นทุน
“ความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมทองคำไทยจะเกิดขึ้นได้เมื่อทุกภาคส่วนยกระดับไปพร้อมกัน ทั้งมาตรฐานที่สูงขึ้น ความเสี่ยงและต้นทุนที่ลดลง รวมถึงประโยชน์ที่ผู้บริโภคได้รับอย่างยั่งยืน”
— ธนรชัต พสวงศ์, CEO กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง
สิ้นปี 2568 คาดทองแตะ 3,780 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือราว 56,000 บาท
ดีมานด์ทองคำในประเทศพุ่ง 25–38% จากปีก่อน
3 เสาหลักเชิงกลยุทธ์: มาตรฐาน–โปร่งใส, ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน, ความร่วมมือเชิงระบบ
ไทยมีโอกาสก้าวสู่ “ศูนย์กลางการค้าทองคำอาเซียน”
ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านของเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่สะท้อนทั้ง “ความมั่งคั่ง” และ “ความมั่นคง” วิสัยทัศน์ของฮั่วเซ่งเฮงไม่เพียงแต่จับจังหวะราคาทอง แต่ยังวางรากฐานเพื่อให้ ประเทศไทยเป็นฮับทองคำอาเซียน—การยกระดับที่ไม่ได้วัดเพียงตัวเลข แต่คือการสร้างระบบที่เชื่อมั่นได้ โปร่งใส และเชื่อมโยงสู่อนาคต