
วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568 เวลา 09.00 น. ตัวแทนสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ร่วมกับศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) ได้เข้ายื่นข้อเสนอเชิงนโยบายต่อ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกรัฐบาล และรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ณ ที่ทำการพรรคภูมิใจไทย เนื่องในโอกาส “ครบรอบ 1 ปีเหตุเพลิงไหม้รถบัสทัศนศึกษา” ที่คร่าชีวิตนักเรียนและครูจำนวนมาก เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงความเปราะบางด้านความปลอดภัยของการเดินทางในเด็กและเยาวชน ซึ่งยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไขอย่างจริงจัง
สภาเด็กและเยาวชนแห่งประทศไทยเน้นย้ำว่า ปัญหาอุบัติเหตุทางถนนถือเป็น“ภัยคุกคามต่อชีวิตและอนาคตของเยาวชนไทย” การยื่นข้อเสนอครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้รัฐบาลกำหนดมาตรการและนโยบายด้านความปลอดภัยทางถนนที่ ชัดเจน ครอบคลุม และยั่งยืน

ข้อพิจารณาและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อรัฐบาล
ติดตามและปรับปรุงมาตรการความปลอดภัย 16 ข้อของ สพฐ.
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ควรติดตามและประเมินผลการปฏิบัติตามแนวทางความปลอดภัย 16 ข้อในการพานักเรียนออกนอกสถานศึกษา พร้อมทั้งทบทวนข้อปฏิบัติให้มีความเป็นไปได้ทางปฏิบัติ โดยเฉพาะข้อ 7 ที่กำหนดให้การเดินทางด้วยรถโดยสาร 40 ที่นั่งตั้งแต่ 3 คันขึ้นไปต้องมีรถนำขบวน ซึ่งแม้มีเจตนารมณ์เพื่อความปลอดภัยแต่ยังมีข้อจำกัดด้านการบังคับใช้ จึงควรมีการปรับปรุงให้สอดคล้องบริบทในพื้นที่
เพิ่มงบประมาณเฉพาะกิจกรรมทัศนศึกษา
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ควรทบทวนและปรับปรุง อัตราเงินอุดหนุนกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน โดยกำหนดสัดส่วนเฉพาะสำหรับ “กิจกรรมทัศนศึกษา” ที่รวมค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัย เช่น รถทัศนาจรปลอดภัยได้มาตรฐาน ประกันภัย และการฝึกอบรมความปลอดภัยเบื้องต้นให้แก่นักเรียนและครู
จัดตั้งหน่วยงานกลางและทำเนียบผู้ประกอบการรถทัศนาจรปลอดภัย
กรมการขนส่งทางบก ควรจัดตั้งหน่วยงานกลางด้านการตรวจสอบและจัดทำทำเนียบผู้ประกอบการรถทัศนาจรปลอดภัย โดยจัดระดับมาตรฐานความปลอดภัย อาทิ ดาวความปลอดภัย (Safety Stars) ที่เปิดเผยต่อสาธารณะ เพื่อให้ผู้ใช้บริการ เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือหน่วยงานรัฐ สามารถเลือกใช้บริการจากผู้ประกอบการที่มีมาตรฐานสูง และเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการยกระดับคุณภาพการให้บริการ และกำหนดค่าโดยสาร/ค่าเหมากลาง ขั้นต่ำ–สูงสุด ให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย
ประกาศปี 2569–2570 เป็น “ปีแห่งความปลอดภัยทางถนนของเด็กและเยาวชน ”
รัฐบาลควรกำหนดปี 2569–2570 เป็น “ปีแห่งความปลอดภัยทางถนนของเด็กและเยาวชน” โดยมอบหมายให้ ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) เป็นหน่วยงานหลักในการกำกับภาพรวม และประสานความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงคมนาคม จัดทำแผนปฏิบัติการพร้อมตัวชี้วัด (KPIs) ที่ชัดเจน ครอบคลุมทั้งการป้องกันอุบัติเหตุ การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในโรงเรียนและชุมชน และการใช้มาตรการบังคับใช้กฎหมาย โดยให้มีการรายงานความก้าวหน้าต่อรัฐสภา อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อสร้างความต่อเนื่องของนโยบาย
นายชินท์ณภัทร โต๊ะเส็น (ประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย) กล่าวว่า
“เรามาที่นี่วันนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อรำลึกถึงความสูญเสีย แต่เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลลงมือจริงจังกับมาตรการความปลอดภัยทางถนน เราไม่อยากเห็นเด็กคนใดต้องสูญเสียชีวิตเพียงเพราะการเดินทางไปทัศนศึกษา ซึ่งควรเป็นกิจกรรมแห่งการเรียนรู้และความสุข ไม่ใช่ความเสี่ยง”
สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทยเชื่อมั่นว่า หากรัฐบาลนำข้อเสนอไปปฏิบัติจริง จะเป็น ก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรการด้านความปลอดภัยทางถนน ลดความสูญเสีย และสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยที่ยั่งยืนสำหรับเด็กและเยาวชนไทย





