ประเทศที่เข้ามาลงทุนมากที่สุดคือ สิงคโปร์ มูลค่า 86,550 ล้านบาท รองลงมาคือ ญี่ปุ่น 76,397 ล้านบาท และ จีน 21,925 ล้านบาท ส่วน สหรัฐฯ และ ฮ่องกง อยู่ในอันดับถัดไป
ในจำนวนนี้ ญี่ปุ่น ยังครองแชมป์ด้านจำนวนรายสูงสุด 142 ราย โดยเฉพาะธุรกิจวิศวกรรม ยานยนต์ และซอฟต์แวร์ ขณะที่ สิงคโปร์ เด่นด้านเทคโนโลยี โทรคมนาคม และซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูล ส่วน จีน มุ่งลงทุนในธุรกิจแปรรูปไม้ ยางล้อ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
จากนักลงทุนต่างชาติทั้งหมด มีการลงทุนผ่าน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ถึง 49% หรือ 377 ราย คิดเป็นมูลค่า 199,699 ล้านบาท สอดคล้องกับนโยบายรัฐที่มุ่งดึงดูดอุตสาหกรรมอนาคต (Future Industries) เช่น เทคโนโลยีขั้นสูง ยานยนต์ไฟฟ้า ดิจิทัล และพลังงานสะอาด
กลุ่มธุรกิจที่ได้รับอนุญาตมากที่สุด ได้แก่
ธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้า (Metal/Plastic Parts, ชิ้นส่วนยานยนต์)
กิจการสนับสนุนการค้าและการลงทุน (TISO)
ธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์ เช่น ซอฟต์แวร์และ Data Center
พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ยังคงเป็นจุดหมายสำคัญ มีนักลงทุนต่างชาติ 222 ราย หรือ 29% ของทั้งหมด มูลค่าลงทุนรวม 82,264 ล้านบาท โดยญี่ปุ่น สิงคโปร์ และจีน เป็นกลุ่มหลักที่เข้ามาลงทุนในธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ ซอฟต์แวร์ และแพลตฟอร์มดิจิทัล
เฉพาะเดือนกันยายน 2568 มีต่างชาติได้รับอนุญาตลงทุน 83 ราย รวมมูลค่า 27,580 ล้านบาท ส่วนใหญ่จากญี่ปุ่น สิงคโปร์ และจีน มีการจ้างงานคนไทยเพิ่ม 237 คน พร้อมมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูงด้านวิศวกรรม การขุดเจาะปิโตรเลียม และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
ตัวเลขการลงทุนที่ขยายตัวกว่า 80% สะท้อนศักยภาพของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจและการลงทุนของภูมิภาค โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอนาคตที่รัฐบาลผลักดัน เช่น EV ดิจิทัล และพลังงานสะอาด ซึ่งมีแนวโน้มจะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่อเนื่องในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี