
คิงส์สเตลล่า (King’s Stella) แบรนด์สเปรย์ปรับอากาศรายแรกของประเทศไทย ภายใต้บริษัท คิงส์สเตลล่า กรุ๊ป จำกัด (King’s Stella Group) ที่อยู่เคียงข้างครอบครัวคนไทยยาวนานกว่า 63 ปี ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการเครื่องหอม จัดงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในคอลเลกชัน “King’s Stella Feel the Bloom” ได้คอลแลปกับ “give.me.museums” ไทยอาร์ททิสต์ชื่อดัง เชื่อมออนไลน์สู่ออฟไลน์ ผ่านศิลปะ ดนตรี และกลิ่นหอมที่สร้างอารมณ์ความรู้สึก พร้อมสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภคได้ ทดลอง-สัมผัส–ค้นพบ กลิ่นที่สะท้อนตัวตนของตนเอง ตั้งเป้าพาแบรนด์ไทยก้าวสู่เวทีตลาดโลกผ่านแนวคิด This is My New Thai

ชุติพนธ์ กิตติเกษมศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิงส์สเตลล่า กรุ๊ป จำกัด (King’s Stella Group) กล่าวว่า
“ช่วงปลายปีที่ผ่านมา King’s Stella ได้เปิดตัวสินค้าเจลปรับอากาศ “King’s Stella Feel the Bloom” ที่ Collaboration กับ “give.me.museums” ผลงานของ “ออย - คนธรัตน์ เตชะไตรศร” ไทยอาร์ททิสต์แนวอิมเพรสชันนิสม์ชื่อดัง ซึ่งเป็นครั้งแรกของแบรนด์ที่คอลแลปกับศิลปินที่ได้รับความนิยมเพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่ และยกระดับภาพลักษณ์ของ King’s Stella ให้ทันสมัย ตอบโจทย์ผู้บริโภค Gen Z และ Millennials สร้างการรับรู้แบรนด์ในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ให้ King's Stella ใกล้ชิดกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่มากขึ้น ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก ทำให้เกิดการพัฒนาต่อยอดจนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ “King’s Stella Feel the Bloom Reed Diffuser” และ “King’s Stella Feel the Bloom Room Spray” ภายใต้คอลเลกชัน “King’s Stella Feel the Bloom” โดยจัดงานเปิดตัวขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ “Your Scent, Your Identity” ณ ลานอีเดน ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์”

ภายในงานใช้กลยุทธ์การตลาดเชิงประสบการณ์ (Brand Experience) ที่ทำให้ผู้บริโภคได้มีส่วนร่วมผ่านกิจกรรม Immersive ต่างๆ และได้ค้นหากลิ่นที่เป็นตัวของตัวเอง ผ่านกลิ่นหอมของทุ่งดอกไม้ 4 สไตล์ที่แบ่งออกเป็น 4 โซน สะท้อนอารมณ์ในแต่ละช่วงของวัน ได้แก่

ขณะเดียวกัน King’s Stella ยังเติมเต็มความพิเศษของงานด้วยโมเมนต์ดีๆ จากคู่ศิลปินชื่อดังอย่าง เจมีไนน์-นรวิชญ์ ฐิติเจริญรักษ์ และ โฟร์ท-ณัฐวรรธน์ จิโรชน์ธิกุล ที่มาร่วมสร้างรอยยิ้มให้กับแฟนๆ ผ่านกิจกรรมบนเวที พร้อมช่วงเวลาสุดเอ็กซ์คลูซีฟให้กับแฟนคลับผู้โชคดีด้วย
“สำหรับ King’s Stella นี่คือทิศทางใหม่ที่มุ่งสร้างเครือข่ายของประสบการณ์ร่วมกัน (Experience Ecosystem) เพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกถึงตัวตนของแบรนด์ผ่านทุกสัมผัสของสินค้า โดยเฉพาะในยุคที่ผู้บริโภคมองหาความหมาย ความรู้สึก และการมีส่วนร่วมมากกว่าตัวสินค้าเพียงอย่างเดียว โดยแบรนด์ได้ใช้ข้อมูล Insight ของผู้บริโภคที่มองว่าบ้านคือพื้นที่สร้างประสบการณ์และความรู้สึก รวมถึงการวิเคราะห์ Data ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพพบว่า ผู้บริโภคต้องการกลิ่นหอมที่ละเอียด นุ่มนวล และยาวนาน ความปลอดภัยและการใช้งานง่ายในทุกพื้นที่ของบ้านเป็นปัจจัยสำคัญ รวมถึงการเลือกซื้อส่วนใหญ่มาจากประสบการณ์จริงหรือรีวิวจากผู้ใช้และอินฟลูเอนเซอร์ จากข้อมูลเหล่านี้ จึงได้ออกแบบสินค้าให้ตอบโจทย์เหล่านี้คือการสร้างบรรยากาศสดชื่น ปลอดภัย และสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้ทุกคนในบ้าน
นอกจากนี้ อีเวนต์ดังกล่าวยังสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการสื่อสารกับผู้บริโภครุ่นใหม่ ของ King’s Stella ที่เชื่อมต่อโลกออนไลน์กับออฟไลน์ (O2O Marketing) ดึงดูดลูกค้าจากช่องทางดิจิทัลไปสู่การซื้อจริงที่หน้าร้านหรือกิจกรรม เพื่อสร้างประสบการณ์ไร้รอยต่อ กระตุ้นยอดขาย และเพิ่มโอกาสในการเก็บข้อมูลลูกค้าเพื่อต่อยอดธุรกิจในอนาคต ในครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่คือจุดเริ่มต้นของการปรับกลยุทธ์ครั้งสำคัญของคิงส์สเตลล่า ที่เปลี่ยนการขายสินค้าธรรมดาให้กลายเป็นการสร้างประสบการณ์” ชุติพนธ์ กล่าวเพิ่มเติม
ปัจจุบันตลาดผลิตภัณฑ์ Air Care หรือผลิตภัณฑ์ปรับอากาศในประเทศไทยมีมูลค่ากว่า 2,500 ล้านบาท (ข้อมูลไตรมาสที่ 2 ปี 2568) และ King’s Stella ครองส่วนแบ่งตลาดราว 8% อยู่ในอันดับที่ 4 ของตลาดรวม ถือเป็นแบรนด์ไทยที่สามารถรักษาความแข็งแกร่งในตลาดที่มีการแข่งขันสูงและเต็มไปด้วยผู้เล่นระดับโกลบอล ซึ่งหากมองในภาพรวมไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วยังคงมีแนวโน้มโตต่อเนื่อง
โดยสิ่งที่แบรนด์ต้องการนำเสนอไม่ใช่แค่สินค้า แต่คือแนวคิด This is My New Thai การตีความความเป็นไทยในมิติใหม่ๆ ที่ร่วมสมัยและส่งต่อสู่ผู้บริโภคทั่วโลก ดังเช่นข้าวเหนียวมะม่วงกลายเป็น Soft Power บนเวที Coachella โดยน้องมิลลิ หรือ หมูเด้งที่ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวจนการท่องเที่ยวไทยเติบโตถึง 400% สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าโลกพร้อมจะยอมรับการนำเสนอความเป็นไทยในรูปแบบที่แตกต่างไป
King’s Stella ต้องการเป็นตัวกลางที่ผลักดันความเป็นไทย ทั้งศิลปินไทย อาหารไทย ลายผ้าไทย และวัฒนธรรมไทย ให้ถูกถ่ายทอดออกไปสู่ระดับสากลผ่านผลิตภัณฑ์คอลเลกชันต่างๆ ของแบรนด์ที่วันนี้พร้อมแล้วในการขยายสู่ตลาดต่างประเทศ เพื่อให้ This is My New Thai เติบโตอย่างยั่งยืน
ซึ่งขณะนี้ King’s Stella ได้ขยายตลาดไปยังประเทศในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ผ่านกลยุทธ์ Global Distribution โดยเฉพาะใน เวียดนาม ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภค นอกจากนี้ยังขยายไปยังตลาดประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, บรูไน, เมียนมาร์, อินโดนีเซีย, กัมพูชา รวมถึงการส่งออกสู่กลุ่มประเทศที่มีรายได้สูง (High Income) ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, กาตาร์, โอมาน, คาซัคสถาน, อินเดีย, มัลดีฟส์, ออสเตรเลีย และฮ่องกง โดยสัดส่วนผลิตภัณฑ์ของคิงสเตลล่ามุ่งเน้นไปที่เครื่องหอมปรับอากาศ ไม่ว่าจะเป็นเจลหอม สเปรย์ปรับอากาศ รวมถึงสินค้าใหม่อย่าง Reed Diffuser และในอนาคตมีแผนขยายสู่ผลิตภัณฑ์ประเภท Candle ภายใต้โรดแมปที่ออกแบบให้ครอบคลุมทุกแอปพลิเคชัน ทันสมัย และสอดคล้องกับเทรนด์และความต้องการของผู้บริโภค
ด้วยประสบการณ์กว่า 63 ปี บริษัท คิงส์สเตลล่า กรุ๊ป จำกัด (King’s Stella Group) ยึดมั่นในผลิตภัณฑ์ภายใต้วิสัยทัศน์ “Empowering Family Lovers บริษัทของคนรักครอบครัว” พัฒนาสินค้าโดยใช้แนวคิด Innovative Solution for Families เพื่อตอบโจทย์ปัญหาในชีวิตประจำวัน พร้อมเดินหน้าสร้างคุณค่าทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์และกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำความเป็นแบรนด์ของคนไทยที่อยู่คู่ครอบครัวไทยมายาวนาน พร้อมมุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยได้วางแผนสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593 และตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอน 30% ภายในปี 2753 ทั้งหมดนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ของคิงส์สเตลล่าในการพัฒนาแบรนด์ไทยให้เติบโตสู่ระดับสากลบนรากฐานของความยั่งยืน ทั้งในเชิงธุรกิจและสิ่งแวดล้อม





