
ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกและไทยที่ถดถอยชะลอตัว ผลประกอบการเอสซีจี ไตรมาส 3 ปี 2568 กำไรที่ไม่รวมการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือของเอสซีจีซี และรายการปรับโครงสร้างธุรกิจ 774 ล้านบาท ขณะที่มีขาดทุนสำหรับงวด 669 ล้านบาท
สำหรับช่วง 9 เดือน ปี 2568 กระแสเงินสด (EBITDA) แข็งแกร่งที่ 44,511 ล้านบาท คาดการณ์พายุเศรษฐกิจโลกและไทยจะยืดเยื้อจนถึงปี 2569 เร่งเสริมศักยภาพแข่งขันรอบด้านด้วย 4 กลยุทธ์หลัก ดันปูนคาร์บอนต่ำและเซรามิกเจาะตลาดเวียดนามดีมานด์สูง ขยายพอร์ตสินค้าราคาคุ้มค่า Smart Value คว้าโอกาสจากตลาดช่วงกำลังซื้อชะลอตัว และลดต้นทุนต่อเนื่องด้วย AI-Robotics พร้อมเสริมโซลูชันเพิ่มรายได้ มั่นใจสร้างภูมิคุ้มกันให้ธุรกิจ

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกและไทยในไตรมาส 3 ปี 2568 ได้รับแรงกดดันจากสงครามการค้า ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ประกอบกับเงินบาทแข็งค่า 5% สูงสุดในรอบ 4 ปี กระทบการส่งออก การลงทุน การท่องเที่ยว และการบริโภคในประเทศอย่างต่อเนื่อง IMF คาดการณ์ GDP โลกปี 2568-2569 ชะลอเหลือ 3.2% และ 3.1% ตามลำดับ ขณะที่ไทยมี GDP ปี 2568 เติบโตเพียง 2% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอาเซียน และปี 2569 อาจชะลอเหลือ 1.6%
“เอสซีจีประเมินว่ามรสุมเศรษฐกิจรอบนี้จะยืดเยื้อและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ จึงเร่งปรับตัวตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ทั้งรักษาวินัยทางการเงิน ลดต้นทุน รวมศูนย์การผลิตเพื่อลดความซ้ำซ้อน ปรับโครงสร้างธุรกิจ ตลอดจนพัฒนาสินค้า Smart Value–HVA–กรีน ตอบโจทย์ตลาดทุกระดับ และขยายตลาดใหม่ ทำให้มีกระแสเงินสดแกร่ง ผลการดำเนินงานธุรกิจมั่นคง”
นายธรรมศักดิ์กล่าว
ไตรมาส 3 ปี 2568 เอสซีจีสามารถรักษากระแสเงินสด (EBITDA) แข็งแกร่งที่ 14,191 ล้านบาท มีกำไร 774 ล้านบาท ซึ่งไม่รวม 1) ขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ จากเอสซีจีซี (ธุรกิจเคมิคอลส์)
1,348 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจาก LSP เวียดนามที่เริ่มดำเนินการผลิตในช่วงแรก จึงต้องเตรียมสินค้าเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับตลาด 2) รายการปรับโครงสร้างธุรกิจ หากรวม 2 รายการดังกล่าวบริษัทฯ จะมีขาดทุนสำหรับงวด 669 ล้านบาท
รายได้จากการขายอยู่ที่ 121,793 ล้านบาท ลดลง 2% จากไตรมาสก่อน จากปัจจัยฤดูกาลของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง และรายได้จากการขายที่ลดลงของเอสซีจีพี
การดำเนินงานสำคัญรายธุรกิจในไตรมาส 3 ปี 2568 แม้ภาคการก่อสร้างชะลอตัวตามฤดูกาล แต่ธุรกิจซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ มีกำไร 1,583 ล้านบาท ธุรกิจได้ปรับโครงสร้างลดต้นทุน ขยายตลาดปูนคาร์บอนต่ำทั้งในไทยและอาเซียนอย่างต่อเนื่อง
เอสซีจี เดคคอร์ กำไร 305 ล้านบาท โดยมี PRIME เวียดนามเป็นฐานการผลิตส่งออกทั่วอาเซียน จากการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการมุ่งพัฒนาสินค้า HVA และสินค้าเติบโตสูงที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่
เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และ เอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์ รีเทล กำไร 60 ล้านบาท ธุรกิจได้เร่งลดต้นทุนโดยใช้ AI -ระบบอัตโนมัติ และการจัดการใช้วัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เอสซีจีซี ขาดทุน 3,999 ล้านบาท ธุรกิจเผชิญส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลง แต่ยังรักษากำลังการผลิตระดับได้ 85–90%ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของผู้เล่นในอุตสาหกรรม นอกจากนี้ โรงงาน LSP ที่เวียดนามเริ่มกลับมาดำเนินงานเมื่อเดือนสิงหาคม 2568 ทำให้เครื่องจักรได้รับการบำรุงรักษาสม่ำเสมอ รักษาฐานลูกค้า บริหารต้นทุนอย่างยืดหยุ่นผ่านการปรับสัดส่วนวัตถุดิบระหว่าง โพรเพนและแนฟทาได้ทันทีตามราคาที่เหมาะสมในสถานการณ์ตลาด หากปิดโรงงานระยะยาวจะสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ และแบกรับต้นทุนการเริ่มต้นใหม่ในอนาคต
เอสซีจีพี กำไร 953 ล้านบาท ซึ่งตลาดบรรจุภัณฑ์อาเซียนฟื้นตัวจากการบริโภคภายในประเทศและ ภาคการส่งออก โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคประจำวัน เสื้อผ้าและรองเท้า ได้รับแรงหนุนจากการเตรียมสินค้าล่วงหน้าสำหรับเทศกาลปลายปี ส่วนด้านราคาเยื่อและกระดาษมีการปรับตัวลง บริษัทฯ จึงเน้นขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับผู้บริโภค การบูรณาการห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค จัดการต้นทุนและการผลิตที่มีประสิทธิภาพโดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนเป็น 38.6% ของการใช้พลังงานทั้งหมด

สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนปี 2568 มีกระแสเงินสด (EBITDA) 44,511 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไร 17,767 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 159% มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 370,870 ล้านบาท ลดลง 3%
ตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา เอสซีจีเดินหน้ามาตรการเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินอย่างต่อเนื่อง เงินทุนหมุนเวียนลดลง 21,571 ล้านบาท หนี้สินสุทธิลดลง 32,226 ล้านบาท ต้นทุนทางการเงินลดลง 193 ล้านบาท
คิดเป็น 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA อยู่ที่ 4.7 เท่า และมีเงินสดคงเหลือ ณ สิ้นไตรมาส 3 อยู่ที่ 50,662 ล้านบาท สะท้อนผลของการบริหารจัดการที่มีวินัยและรอบคอบ
แม้เศรษฐกิจโลกยังเปราะบางและคาดการณ์ยาก เอสซีจีเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์การปรับตัวอย่างทันท่วงทีที่ผ่านมา คือ “ภูมิคุ้มกันที่ถูกทาง” เห็นได้ผลการดำเนินงานและ EBITDA ที่แข็งแกร่ง พร้อมเดินหน้า 4 กลยุทธ์หลัก เสริมแกร่งธุรกิจ รับมือเศรษฐกิจโลกยืดเยื้อ ดังนี้
กลยุทธ์ที่ 1 : รักษาวินัยทางการเงินต่อเนื่อง บริหารกระแสเงินสดที่มั่นคง ใช้เงินทุนหมุนเวียนอย่างระมัดระวัง เดินหน้าปรับโครงสร้างการดำเนินงานธุรกิจ ลดต้นทุนด้วย AI & Robotics เช่น เอสซีจี เดคคอร์ นำเทคโนโลยีหุ่นยนต์และ AI เข้ามาช่วยตรวจคุณภาพผลิตภัณฑ์ ควบคุมกระบวนการผลิต และบริหารคลังสินค้า ลดต้นทุนได้ถึงกว่า 20% ต่อปี เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ใช้ AI และระบบอัตโนมัติจัดการวัตถุดิบ

กลยุทธ์ที่ 2 : รวมศูนย์การผลิตเพื่อลดความซ้ำซ้อน เน้นเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ในธุรกิจของเอสซีจี ที่ดำเนินงานในอาเซียน บริหารต้นทุนการผลิตและส่งออก เช่น เอสซีจี สมาร์ท ลีฟวิง ควบรวบไลน์ผลิตกระเบื้องหลังคาคอนกรีตที่จังหวัดลำพูน ลดต้นทุนได้ 10 ล้านบาท/ปี

กลยุทธ์ที่ 3 : รุกตลาดเวียดนาม ฐานการผลิตใหม่เพื่อส่งออกตลาดโลก เวียดนามเติบโตโดดเด่น GDP ขยายตัวกว่า 7% จากมาตรการรัฐและการลงทุนต่อเนื่อง เอื้อต่อธุรกิจอสังหาฯ–ก่อสร้าง–บริโภค และมีต้นทุนการผลิตแข่งขันได้ทั้งพลังงาน แรงงาน และโลจิสติกส์ เอสซีจีจึงเร่งขยายฐานในเวียดนาม โดยเพิ่มกำลังการผลิตปูนคาร์บอนต่ำ 8,000 ตันต่อวัน เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปยังอเมริกา ออสเตรเลีย และยุโรป พร้อมขยายการผลิตและส่งออกเซรามิกจากเวียดนามสู่ตลาดโลก ขณะที่โรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ ประเทศเวียดนาม (LSP) ปรับแผนการผลิตเพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบก๊าซโพรเพน ซึ่งมีความสามารถในการแข่งขันในช่วงที่สภาวะราคาวัตถุดิบผันผวน ส่วนโครงการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่โรงงาน LSP ประเทศเวียดนาม (โครงการ LSPE) ยังคงเดินหน้าต่อเนื่องตามแผน คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จ ปลายปี 2570 ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในระยะยาว

กลยุทธ์ที่ 4 : ขยายพอร์ตสินค้า บริการ ราคาคุ้มค่า Smart Value – HVA - กรีน

“ท่ามกลางมรสุมเศรษฐกิจโลกที่ยังยืดเยื้อ เอสซีจีประเมินว่าความท้าทายจะยังคงต่อเนื่องถึงปีหน้า จากปัจจัย ที่ยังไม่คลี่คลาย เช่น การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น มาตรการกีดกันทางการค้าที่ขยายตัว และค่าเงินบาทที่แข็ง กว่าปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งยังคงกดดันการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทย แม้เผชิญสถานการณ์ที่ท้าทายมากขึ้น แต่เรามั่นใจว่า มาตรการที่ดำเนินมาอย่างเข้มข้นตลอดปีที่ผ่านมานั้นมาถูกทางแล้ว ทั้งการเสริมวินัยทางการเงิน ปรับโครงสร้างธุรกิจ และขยายสู่ตลาดที่มีศักยภาพ ซึ่งเป็นฐานสำคัญให้เอสซีจียืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่ง ” นายธรรมศักดิ์กล่าวปิดท้าย





