
10 กว่าปีที่ผ่านมา BTS ที่ฟอร์มวงในปี 2010 และเดบิวต์อย่างเป็นทางการในปี 2013 ภายใต้สังกัด Big Hit Entertainment ไม่ได้เป็นเพียงวงดนตรีเกาหลีใต้ที่โด่งดังทั่วโลก แต่เป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่สะท้อนพลังของ ‘Consumer Power’ อย่างแท้จริง แฟนคลับของพวกเขา หรือที่รู้จักในชื่อ ARMY คือกองทัพการตลาดที่ทรงพลังที่สุดในโลก ไม่ใช่แค่ติดตามผลงาน แต่มีบทบาทเป็นนักสร้างกระแส การขับเคลื่อน Viral Marketing และการสร้างรายได้อย่างเป็นรูปธรรม
ตัวเลขชี้ชัดถึงความแข็งแกร่งของ ARMY จากผู้ติดตาม YouTube ที่ทะลุ 80 ล้าน ไปจนถึงยอดผู้ติดตามรวมกันบน Instagram, X และ TikTok ที่เกิน 200 ล้าน และแพลตฟอร์ม Weverse ที่ BTS กลายเป็นศิลปินรายแรกที่มีสมาชิกทะลุ 30 ล้านคน
ARMY ไม่เพียงสนับสนุนศิลปิน แต่กลายเป็น ‘แรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและสังคม’ ตัวอย่างเช่น การโหวตเป็นร้อยล้านครั้ง การสตรีมจนทำลายสถิติ และการระดมทุน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในวันเดียวเพื่อสนับสนุน Black Lives Matter ล้วนสะท้อนให้เห็นว่า ARMY คือ ‘กองทัพการตลาดวัฒนธรรม’ ที่สามารถพลิกโลกได้ทุกเมื่อ
แม้จะผ่านไปหลายปีดีดัก แต่ ARMY ไม่ได้แค่รักษาพลังของกลุ่มก้อนแฟนคลับที่เหนียวแน่นและดำเนินการสนับสนุนศิลปินอย่างเป็นระบบเท่านั้น แต่ยังขยายไปสู่การยอมรับในระดับโลก
ล่าสุดคว้าตำแหน่ง ‘Fandom of the Year 2025’ ยืนยันสถานะว่าเป็นแฟนด้อมที่แข็งแกร่งที่สุดของ K-pop และยังคงขับเคลื่อนด้วยกิจกรรมสร้างสรรค์ ทั้งสตรีมปาร์ตี้ งานการกุศล และกิจกรรมแฟนมีตที่จัดขึ้นทั่วโลก ขณะเดียวกันก็ยังมีแฟนรุ่นใหม่ที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ ARMY มีพลวัต ไม่เคยหยุดนิ่ง


กลยุทธ์ Engagement แบบ BTS...
Ecosystem ที่ผูกหัวใจและพลังการตลาดเข้าด้วยกัน
หัวใจความสำเร็จของ BTS ไม่ได้อยู่แค่เพลงติดหูหรือท่าเต้นที่กลายเป็นไวรัล หากแต่มาจากการสร้าง ‘Ecosystem ของการมีส่วนร่วม’ ที่ทำให้แฟนคลับตัวยงอย่าง ARMY ไม่เพียงติดตาม แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางความสำเร็จอย่างแท้จริง
กลยุทธ์แรกคือ Cross-platform synergy ที่ BTS ใช้ในการเชื่อมโยงทุกแพลตฟอร์มเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ เพลงใหม่อาจเริ่มจากทีเซอร์บน YouTube ก่อนส่งต่อกระแสลง TikTok ผ่านการทำ Challenge แล้วถูกกระจายออกไปใน Twitter (ชื่อ X ในขณะนั้น) จนติดเทรนด์โลก และปิดท้ายด้วยการสื่อสารแบบใกล้ชิดใน Weverse เพื่อให้แฟนรู้สึกว่าได้กลับเข้าสู่ ‘บ้าน’ ของพวกเขาอีกครั้ง
การไหลเวียนของเนื้อหาในลักษณะนี้ทำให้ไม่ว่าฐานแฟนคลับจะเริ่มต้นจากช่องทางไหน ก็จะถูกดึงเข้าสู่จักรวาลของ BTS อย่างต่อเนื่องและไม่มีวันหลุดออกไป

เมื่อแพลตฟอร์มต่างๆ ถูกผสานเข้าด้วยกัน สิ่งที่ทำให้ ARMY ทรงพลังยิ่งขึ้นคือแนวคิด Participation Economy (เศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วม ที่แฟนไม่ได้เป็นเพียงผู้บริโภค แต่ร่วมสร้างคุณค่าและกระแส) ซึ่งเปลี่ยนจากแฟนผู้รับสาร ไปสู่การเป็นผู้สร้างปรากฏการณ์ด้วยตนเอง
ไม่ว่าจะเป็นการทำ Dance Challenge บน TikTok ที่ทำให้เพลงของ BTS กลายเป็นกระแสระดับโลกโดยไม่ต้องซื้อโฆษณา การโบกแท่งไฟ Army Bomb ที่ซิงก์เข้ากับระบบแสงไฟในคอนเสิร์ตจนทุกคนกลายเป็นส่วนหนึ่งของโชว์ หรือแม้แต่การเข้าร่วมกิจกรรม exclusive บน Weverse ที่เปิดโอกาสให้แฟนได้พูดคุย ตอบคำถาม และแสดงความรู้สึกโดยตรงต่อศิลปิน
ทุกกิจกรรมเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า BTS ไม่ได้สร้างผู้ชม แต่สร้าง ‘Co-creator’ ที่ร่วมกันผลักดันความสำเร็จของวง
สิ่งที่ทำให้พลังดังกล่าวไม่ใช่เพียงไฟชั่ววูบคือการสานต่อด้วย Emotional Connection หรือความสัมพันธ์เชิงลึกที่เกิดจาก Storytelling และความจริงใจของศิลปิน เพลงของ BTS มักเล่าเรื่องความฝัน ความกดดัน และการต่อสู้ที่ใกล้เคียงกับชีวิตจริงของผู้ฟัง ทำให้แฟนรู้สึกว่า BTS เข้าใจพวกเขาอย่างแท้จริง
ไม่ว่าจะเป็นโครงการ ‘Love Myself’ ร่วมกับ UNICEF ที่สื่อสารเรื่องการรักและเห็นคุณค่าในตนเอง หรือสุนทรพจน์ของ RM ที่ UN ใต้หัวข้อ ‘Speak Yourself’ ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจระดับโลก ไปจนถึงการแชร์ชีวิตประจำวันผ่าน VLOG และ Weverse ที่เผยให้เห็นด้านที่เปราะบางและเป็นมนุษย์ของพวกเขา
ความจริงใจเช่นนี้เปลี่ยนจากความชื่นชมให้กลายเป็นความรักและความผูกพันในระยะยาว
ทั้งนี้ รายได้รวมตลอดเส้นทางอาชีพของ BTS นับตั้งแต่เดบิวต์จนถึงปัจจุบัน ถูกประเมินว่าอยู่ในช่วงประมาณ 1,800 - 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 63,000 - 70,000 ล้านบาท) ครอบคลุมทั้งยอดขายอัลบั้ม คอนเสิร์ต สินค้าที่ระลึก งานพรีเซนเตอร์ คอนเทนต์ดิจิทัล บริการแฟนคลับ และช่องทางรายได้อื่นๆ
ในช่วงปี 2016 จนถึงกลางปี 2021 BTS สะสมรายได้รวมราว 1,800 - 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 63,000 - 66,500 ล้านบาท) ตามรายงานทางการเงินของ HYBE โดยประเมินว่ากำไรที่ HYBE ได้จากยอดขายที่เกี่ยวข้องกับ BTS ในช่วงดังกล่าวอยู่ราว 333 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 11,655 ล้านบาท)
ในแต่ละปี BTS สามารถสร้างรายได้จากดนตรี ทัวร์ งานพรีเซนเตอร์ และคอนเทนต์ดิจิทัลสูงสุดอยู่ในช่วงประมาณ 170 - 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 5,950 - 8,750 ล้านบาท) มูลค่าสุทธิรวมของสมาชิก BTS โดยรวมถูกประเมินอยู่ระหว่าง 350 - 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 12,250 - 21,000 ล้านบาท)
โดยสมาชิกแต่ละคนมีรายได้ต่อปีราว 10 - 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 350 - 525 ล้านบาท) ยอดขายอัลบั้มรวมทั่วโลกมากกว่า 105 ล้านชุด ขณะที่เกมมือถือที่เกี่ยวข้องกับ BTS เพียงหมวดเดียวก็สามารถสร้างรายได้สะสมตลอดอายุโครงการเกือบ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,750 ล้านบาท)
ทำให้ BTS ถูกยกให้เป็นหนึ่งในบอยแบนด์ที่ขายดีที่สุดตลอดกาล โดยระดับรายได้ในปัจจุบันแซงหน้าศิลปินชั้นนำระดับโลกจำนวนมาก อิทธิพลทางพาณิชย์มหาศาลนี้ครอบคลุมตั้งแต่คอนเสิร์ตและทัวร์ทั่วโลก แคมเปญพรีเซนเตอร์อย่าง McDonald’s BTS Meal สินค้าที่ระลึกต่างๆ ไปจนถึงคอนเทนต์ดิจิทัลอย่างเกมมือถือ
แม้ว่าสัดส่วนการพึ่งพา BTS ต่อรายได้ของ HYBE Corporation จะลดลงเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ เนื่องจากกิจกรรมเดี่ยวของสมาชิกและภารกิจรับใช้ชาติของพวกเขา แต่บทบาทเชิงรายได้ของ BTS ยังคงมีนัยสำคัญต่อธุรกิจโดยรวมของบริษัทอยู่เสมอ ดังนั้นรายได้รวมตลอดเส้นทางอาชีพของ BTS จึงอยู่ราว 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 70,000 ล้านบาท) หรือมากกว่า จากหลากหลายช่องทางรายได้ที่ผสมผสานกันอย่างครบวงจร

ปี 2025 การกลับมาของตำนาน
BTS กลับมารวมตัวเต็มวงแล้ว หลังสมาชิกทั้ง 7 คน RM, Jin, Suga, J-Hope, Jimin, V และ Jungkook เสร็จสิ้นการรับราชการทหารและโปรเจกต์เดี่ยว
(สมาชิก BTS 6 คนเข้ากองทัพ ขณะที่ Suga ปฏิบัติหน้าที่ในรูปแบบบริการสังคม เนื่องจากมีปัญหาสุขภาพหลังการผ่าตัดไหล่ในปี 2020 ใช้เวลารวมทั้งสิ้น 21 เดือน ซึ่งนานกว่าระยะเวลาการเป็นทหารเกณฑ์ทั่วไป โดยเสร็จสิ้นภารกิจอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2568)
ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ให้กับวง การกลับมาครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการรวมตัว แต่เป็นการสร้างบทใหม่ในประวัติศาสตร์ K-pop
สมาชิกทุกคนมีผลงานเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จ ทั้ง J-Hope ที่ขึ้นเวที Lollapalooza, Jimin ที่มีซิงเกิลเดี่ยวอันดับ 1 บน Billboard Hot 100 และการร่วมงานกับศิลปินระดับโลก เช่น Coldplay, Jon Bellion และ Justin Timberlake การรวมตัวใหม่ของวงจึงเต็มไปด้วยศักยภาพที่จะสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ทั้งด้านดนตรีและการตลาด
กิจกรรมแรกหลังจากกลับมาร่วมวงอีกครั้ง เริ่มต้นด้วย BTS Festa 2025 เพื่อฉลองครบรอบ 12 ปีของวง เป็นงานแฟนมีตติ้งพิเศษที่สร้างความตื่นเต้นและกำหนดทิศทางการกลับมาของวงได้อย่างชัดเจน ผลงานใหม่และทัวร์รอบโลกคาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2026 ทำให้ปี 2025 เป็นปีแห่งการสร้างแรงคาดหวังระดับโลก
ล่าสุด ประกาศจัด BTS Movie Weeks อีเวนต์พิเศษระดับโลกที่จะจัดขึ้นเป็นเวลาสองสัปดาห์ระหว่างวันที่ 24 กันยายน ถึง 5 ตุลาคม 2025 เพื่อให้แฟนๆ ทั่วโลกได้สัมผัสประสบการณ์การชมภาพยนตร์คอนเสิร์ตของ BTS ในเวอร์ชั่นรีมาสเตอร์ ผ่านโรงภาพยนตร์กว่า 2,500 แห่ง ในมากกว่า 65 ประเทศ โดย Trafalgar Releasing ร่วมมือกับ HYBE Corporationเป็นผู้จัดงานครั้งนี้
ไลน์อัปประกอบด้วย 4 คอนเสิร์ตระดับตำนานที่ถูกยกมาสร้างใหม่ด้วยคุณภาพภาพและเสียงที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ได้แก่ BTS 2016 Live The Most Beautiful Moment in Life On Stage: Epilogue (Remastered), BTS 2017 Live Trilogy Episode III The Wings Tour The Final (Remastered), BTS 2019 World Tour ‘Love Yourself: Speak Yourself’ London (Remastered) และ BTS 2021 Muster Sowoozoo (Remastered) ซึ่งทั้งหมดถูกอัปเกรดเป็นความละเอียดระดับ 4K พร้อมระบบเสียงรอบทิศทาง 5.1 แชนแนล เพื่อสร้างประสบการณ์สุดดื่มด่ำบนจอภาพยนตร์ให้กับชาว ARMY ทั่วโลก
ความพิเศษของอีเวนต์นี้ไม่เพียงอยู่ที่การได้หวนรำลึกถึงคอนเสิร์ตที่ทรงพลังและเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ BTS แต่ยังสอดคล้องกับการประกาศคัมแบ็กที่ทุกคนรอคอยในฤดูใบไม้ผลิปี 2026 รวมถึงเวิลด์ทัวร์ครั้งใหม่ที่กำลังจะมาถึง โดยบัตรเข้าชมได้เปิดจำหน่ายทั่วโลกไปแล้วตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2025
BTS Movie Weeks จึงไม่ใช่แค่การฉายภาพยนตร์คอนเสิร์ตธรรมดา แต่คือการสดุดีเส้นทางอันยิ่งใหญ่ของ BTS ผ่านเวทีการแสดงระดับตำนาน ที่สะท้อนพลัง ความหมาย และอิทธิพลระดับโลกของพวกเขาอย่างแท้จริง พร้อมมอบโอกาสให้แฟนๆ ได้สัมผัสอีกครั้งกับช่วงเวลาที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ K-pop บนจอใหญ่ในบรรยากาศแห่งความทรงจำร่วมกัน

สำหรับอัลบั้มใหม่ที่มีกำหนดปล่อยในฤดูใบไม้ผลิปี 2026 จะสะท้อนความคิดและไอเดียของสมาชิกแต่ละคน และพร้อมด้วยการทัวร์คอนเสิร์ตระดับโลก BTS จะสร้าง engagement ใหม่กับแฟนคลับทั้งเก่าและใหม่ ทำให้ปี 2026 กลายเป็นปีแห่งความยิ่งใหญ่ของวงอีกครั้ง
แม้ยังไม่ประกาศวันทัวร์คอนเสิร์ตอย่างเป็นทางการสำหรับปี 2026 แต่คาดว่าจะดึงดูดแฟนๆ จำนวนมหาศาล คอนเสิร์ตล่าสุด Permission to Dance on Stage จัดขึ้นท่ามกลางข้อจำกัดของโควิด-19 ในปี 2021 แต่ก็สามารถดึงแฟนๆ กว่า 4 ล้านคน ที่เข้าชมสดภายในฮอลล์และผ่านช่องทางออนไลน์
ในแง่ของการเป็นกระบอกเสียงปั้นยอดขายและสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ต่างๆ ในปี 2025 นี้ สมาชิกของ BTS ยังคงเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลกให้กับแบรนด์ใหญ่ทั้งในต่างประเทศและเกาหลีใต้หลายแบรนด์
เช่น V เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์อย่างเป็นทางการของ Coca-Cola เกาหลีใต้ โดยเขาสะท้อนค่านิยมหลักของแบรนด์อย่างความหลงใหล อิสรภาพ และความตื่นเต้น ผ่านเสน่ห์และความทันสมัยของตัวเอง
ด้าน Jin ทำหน้าที่เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลกให้กับ Gucci แบรนด์แฟชั่นหรู และ Alo Yoga แบรนด์ไลฟ์สไตล์และเครื่องแต่งกายเพื่อสุขภาพสัญชาติอเมริกันที่กำลังมาแรง ซึ่งการเป็นพันธมิตรกับ Alo Yoga ของ Jin เริ่มประกาศในช่วงปลายปี 2024 และยังดำเนินต่อเนื่องในปี 2025 โดยสอดคล้องกับการขยายตลาดของแบรนด์นี้ไปยังตลาดเอเชีย นอกจากนี้ Jin ยังร่วมงานกับ Ottogi Jin Ramen และ Dongwon Tuna พร้อมกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างเข้มข้นในช่วงทัวร์คอนเสิร์ตสำหรับแฟนคลับ
ทั้งในฐานะวงและสมาชิกแต่ละคน BTS ยังมีความร่วมมือแบบโคแบรนด์ (Co-Branded Partnerships) ที่สร้างปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม ใช้อิทธิพลของพวกเขาเชื่อมต่อแบรนด์เข้ากับเรื่องราวที่มีจุดมุ่งหมายและคุณค่า แทนที่จะเป็นการโฆษณาแบบดั้งเดิมเพียงอย่างเดียว ขณะที่สมาชิกคนอื่นๆ ก็ยังคงมีส่วนร่วมในการร่วมงานกับแบรนด์และการเป็นพรีเซนเตอร์ ทั้งในกลุ่มแบรนด์หรูและแบรนด์ตลาดมวลชน ทำให้ BTS ยังคงเป็นไอคอนด้านการตลาดที่ทรงอิทธิพลระดับโลก
โดยรวมแล้ว สมาชิก BTS ในปี 2025 ยังคงมีบทบาทแข็งแกร่งในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ของแบรนด์ใหญ่หลายประเภท ทั้งแฟชั่น เครื่องดื่ม อาหาร และไลฟ์สไตล์ ตอกย้ำอิทธิพลทางวัฒนธรรมและเชิงพาณิชย์ระดับโลกของพวกเขาอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ คาดว่าการกลับมาครั้งนี้ของ BTS จะสร้างประวัติศาสตร์อันน่าตื่นตะลึงอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันยอดสตรีม ยอดขายอัลบั้ม และยอดขายตั๋วชมคอนเสิร์ตให้ทะยานขึ้นอย่างก้าวกระโดด (ข้อมูลบางช่วงระบุว่า BTS มีผู้ติดตามบน Spotify เพิ่มขึ้นถึง 77.6% แสดงถึงแรงสั่นสะเทือนของการรอคอยของ ARMY)

กาลผ่านเวลาเปลี่ยน แต่ BTS ไม่เป็นสุดยอดบอยแบนด์ที่ครองบัลลังก์ K-pop เท่านั้น แต่ยังสร้าง ICONOMICS ระดับตำนาน โดยใช้ ARMY เป็นกองทัพการตลาดวัฒนธรรมที่ทรงพลังที่สุดในโลก
พวกเขาได้พิสูจน์แล้วว่าการสร้างแฟนด้อมที่เหนียวแน่น ไม่เพียงสร้างความสำเร็จทางดนตรี แต่สามารถพลิกโลกธุรกิจและวัฒนธรรมไปพร้อมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ





