
ท่ามกลางสถานการณ์ภัยทางการเงินที่ืทวีความซับซ้อนและแพร่หลายมากขึ้นทั่วประเทศไทย ธนาคารยูโอบี ประเทศไทยได้ยกระดับการปกป้องลูกค้าด้วยมาตรการที่เข้มงวดขึ้นควบคู่กับการสร้างการรับรู้ในวงกว้าง ล่าสุดได้จัดสัมมนาในหัวข้อ “ปกป้องความมั่งคั่งในยุคมิจฉาชีพครองเมือง” ณ ออดิทอเรียม อาคารยูโอบี พลาซา กรุงเทพ โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐ หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย และแวดวงวิชาการ ร่วมแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์และกลโกงที่ซับซ้อนในยุคดิจิทัล รวมถึงแนวทางการป้องกัน ที่มีประสิทธิภาพ
งานสัมมนานี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 200 คน ซึ่งรวมถึงลูกค้ากลุ่มพริวิเลจแบงกิ้ง เวลท์แบงกิ้ง และเจ้าของธุรกิจ SMEs ของธนาคารยูโอบี โดยได้รับฟังข้อมูลจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับวิวัฒนาการของอาชญากรรมไซเบอร์ ตั้งแต่การลงทุนหลอกลวง บัญชีม้า ไปจนถึงการใช้จิตวิทยาชักจูงทางอารมณ์ในโลกออนไลน์ วิทยากรจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) มหาวิทยาลัยรังสิต และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเฝ้าระวัง การแลกเปลี่ยนข้อมูล และความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ ในการต่อสู้กับอาชญากรรมทางการเงินที่ส่งผลกระทบทุกระดับของสังคม
ดร.เอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (AOC) สายด่วน 1441 เปิดเผยถึงกลโกงที่พบมากที่สุดในปัจจุบันว่า “กลโกงที่สร้างความเสียหายมากที่สุดในขณะนี้คือการหลอกให้ลงทุน โดยมิจฉาชีพมักใช้วิธีสร้างความน่าเชื่อถือผ่านการให้ผลตอบแทนในครั้งแรก เพื่อให้เหยื่อตายใจและลงทุนต่อเนื่อง”
นอกจากนี้กลโกงล่าสุดที่มิจฉาชีพนำมาใช้คือบัญชีม้าที่เป็นนิติบุคคล เนื่องจากบัญชีม้าบุคคลธรรมดากำลังถูกกวาดล้างอย่างเข้มข้น มิจฉาชีพจึงหันมาใช้บัญชีนิติบุคคลในการหลอกลวงประชาชนเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้มีลักษณะเป็นบริษัทหรือองค์กรที่ดูน่าเชื่อถือ แต่ในหลายกรณีกลับเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการฉ้อโกงโดยเฉพาะ ซึ่งจากการตรวจสอบของกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) พบว่ามีบัญชีนิติบุคคลลักษณะนี้จำนวนมากนับพันราย บัญชีม้าแบบนิติบุคคลจึงเป็นกลโกงล่าสุดที่ประชาชนควรพึงระวัง
รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล นักอาชญาวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านงานตำรวจ ได้กล่าวถึงแรงจูงใจในการหลอกล่อเหยื่อแต่ละกลุ่มเป้าหมาย และวิธีง่ายๆ ที่สามารถปกป้องตนเอง “มิจฉาชีพใช้เทคนิคหลอกลวงผ่านอารมณ์ต่างๆ เช่น ความกลัว ความโลภ ความผูกพัน ความศรัทธา และความเร่งด่วน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและชักจูงเหยื่อให้หลงเชื่อ ถึงแม้หลายคนจะติดตามข่าวสารเป็นประจำ แต่ก็ยังตกเป็นเหยื่อ เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะโดน ทุกคน ทุกอาชีพสามารถตกเป็นเหยื่อได้ ดังนั้นจึงต้องมีสติและตั้งข้อสงสัยไว้ก่อน อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็นหรือได้ยินง่ายๆ”

คุณรุ่งทิพย์ อังคศิริสรรพ กรรมการผู้จัดการ Chief Risk Officer ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ได้กล่าวถึงมาตรการต่างๆ ที่ทางธนาคารได้ดำเนินงานเพื่อป้องกันภัยจากมิจฉาชีพว่า “ยูโอบีให้ความสำคัญกับการปกป้องทรัพย์สินของลูกค้า โดยเรายกระดับมาตรการความปลอดภัยทางการเงินในทุกช่องทางการให้บริการ หรือที่เรียกว่า Omnichannel ทั้งดิจิทัลและสาขา เพื่อให้ลูกค้าทำธุรกรรมได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย”
โดยมาตรการสำคัญที่ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย นำมาใช้ ได้แก่:
นอกจากการจัดสัมมนาเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับภัยไซเบอร์ ธนาคารยูโอบียังได้เพิ่มการให้ข้อมูลเชิงลึก เพื่อเป็นแนวทางการป้องกันเบื้องต้นแก่ลูกค้าทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องจนถึงสิ้นเดือนตุลาคม 2568 ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่สาขาทั่วประเทศ ซึ่งประกอบด้วย

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ไม่หยุดยั้งในการพัฒนาแนวทางการป้องกันภัยทางการเงินของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการผสมผสานเทคโนโลยีที่ทันสมัยและฟีเจอร์ต่างๆ ควบคู่ไปกับการอัปเดตความรู้ให้พนักงานที่มีหน้าที่ให้บริการลูกค้า ที่ไม่เพียงแค่ป้องกัน แต่ยังช่วยให้ทั้งลูกค้าและพนักงานมีความรู้เท่าทันกลโกงมิจฉาชีพเพื่อปกป้องทรัพย์สินของลูกค้า





