คนไทยเป็นโสดกันมากขึ้น จากจำนวนการแต่งงานที่ลดลงและการหย่าร้างที่เพิ่มขึ้น ธนาคารไทยพาณิชย์ โดยอีไอซี (Economic Intelligence Center) ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลการจดทะเบียนสมรสและจดทะเบียนหย่าของกรมการปกครองพบว่า จำนวนการจดทะเบียนสมรสของคนไทยลดลงจาก 3.13 แสนในปี 2550 มาอยู่ที่ 2.98 แสนในปี 2560 (ลดลง 5.1%) สวนทางกับจำนวนการจดทะเบียนหย่าที่เพิ่มขึ้นจาก 1.02 แสน มาเป็น 1.22 แสน (เพิ่มขึ้น 19.7%) ในช่วงเวลาเดียวกัน
โดยเมื่อพิจารณาแยกตามภูมิภาคพบว่า การจดทะเบียนสมรสที่ลดลงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในภาคเหนือ ใต้ อีสาน แต่กลับเพิ่มขึ้นในกรุงเทพมหานครและภาคกลาง ส่วนการจดทะเบียนหย่านั้นมีการเพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาค ซึ่งในช่วงระหว่างปี 2550 ถึง 2560 ไทยมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นราว 3 ล้านคน
การแต่งงานที่ลดลงและการหย่าร้างที่เพิ่มขึ้น จึงหมายถึงจำนวนคนโสดที่มากขึ้น ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาข้อมูลด้านการใช้จ่ายและสินทรัพย์พบว่า พฤติกรรมการใช้จ่ายของคนโสดและคนมีครอบครัวมีความแตกต่างกันในหลายด้าน
คนโสดใช้จ่ายเพื่อการบริโภคมากกว่า แต่มีทรัพย์สินน้อยกว่า
จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ณ ปี 2561 คนโสด (นับเฉพาะคนที่อายุเกิน 20 ปีซึ่งเป็นเกณฑ์อายุที่สามารถจดทะเบียนสมรสได้ตามกฎหมายและนับรวมคนที่หย่าแล้ว) มีรายจ่ายเพื่อการบริโภคต่อหัวมากกว่าคนมีครอบครัวเฉลี่ยประมาณ 11% โดยคนโสดมีสัดส่วนรายจ่ายเพื่อการบริโภคต่อรายได้ที่สูงกว่าเล็กน้อย แต่คนมีครอบครัวจะมีสัดส่วนรายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ที่สูงกว่า
สอดคล้องกับข้อมูลด้านสินทรัพย์ ได้แก่ บ้านและรถ ที่พบว่า คนโสดมีสัดส่วนความเป็นเจ้าของบ้านและรถน้อยกว่าคนมีครอบครัวในทุกระดับอายุ เช่น ในช่วงอายุ 31-35 ปี มีคนโสดเพียง 18% ที่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ขณะที่คนมีครอบครัวในช่วงเดียวกันมีสัดส่วนความเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยอยู่ที่ 51% เป็นต้น สะท้อนถึงการที่คนโสดอาจมีความจำเป็นในการมีบ้าน-รถที่น้อยกว่า
อย่างไรก็ดี เมื่ออายุมากขึ้นสัดส่วนความเป็นเจ้าของทั้งบ้านและรถจะเพิ่มขึ้นในทั้งสองกลุ่ม ทั้งนี้เมื่อพิจารณารายจ่ายรวมทั้งเพื่อการบริโภคและรายจ่ายเพื่อการชำระหนี้แล้ว จะพบว่า สัดส่วนภาระรายจ่ายของคนมีครอบครัวจะสูงกว่าคนโสด
คนโสดใช้จ่ายมากกว่าด้านการทานอาหารนอกบ้าน และด้านการท่องเที่ยว เมื่อพิจารณารายจ่ายต่อหัวตามประเภทการใช้จ่ายจะพบความแตกต่างระหว่างคนโสดและคนมีครอบครัว ดังนี้