
World Animal Protection ชี้ฟาร์มอุตสาหกรรมเร่งวิกฤตภูมิอากาศ–เชื้อดื้อยา เรียกร้องเปลี่ยนผ่านสู่ระบบอาหารที่เป็นธรรมและยั่งยืน
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก (World Animal Protection) ระบุว่าผลลัพธ์ของการประชุม COP30 ที่เมืองเบเลง ประเทศบราซิล ล้มเหลวต่อการปกป้องสัตว์และผืนป่าแอมะซอน และยังไม่จัดการกับ “รากของปัญหา” อย่างระบบการเลี้ยงสัตว์เชิงอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง ในเดือนรณรงค์ World AMR Awareness Week องค์กรฯ ย้ำว่า ฟาร์มอุตสาหกรรมไม่เพียงทำลายภูมิอากาศและระบบนิเวศ แต่ยังเร่งวิกฤตเชื้อดื้อยา (AMR) ที่กระทบสุขภาพผู้คนทั่วโลก
แม้ที่ประชุม COP30 จะบรรลุ “ชุดข้อตกลงทางการเมืองเบเลง” (Belém Political Package) เพื่อพัฒนากลไกการเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นธรรม (just transition mechanism) แต่ยังขาดความก้าวหน้าในประเด็นสำคัญ เช่น โรดแมปยุติการตัดไม้ทำลายป่า และการลดละเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นเวทีที่ควรให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อผืนป่าแอมะซอน สัตว์ป่า ชนพื้นเมือง และชุมชนดั้งเดิมที่พึ่งพาป่าเป็นบ้านกลับยังคงเผชิญผลกระทบโดยตรง
เคลลี่ เดนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการมีส่วนร่วมภายนอก องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก กล่าวว่า
“COP30 ถูกขนานนามว่าเป็น ‘COP แห่งความจริง’ แต่ความจริงที่ยังไม่ถูกยอมรับคือ เราไม่อาจแก้วิกฤตสภาพภูมิอากาศได้ ในขณะที่ยังหันหลังให้กับการทำลายล้างและความทุกข์ทรมานที่เกิดจากการเลี้ยงสัตว์เชิงอุตสาหกรรม สำหรับ COP ที่จัดขึ้นในดินแดนแอมะซอน เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ประเด็นการตัดไม้ทำลายป่าและการขยายตัวของกลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ (Big Ag) ถูกผลักไปอยู่เบื้องหลัง เหล่าสัตว์ป่า ชนพื้นเมือง และชุมชนดั้งเดิมสมควรได้รับการคุ้มครองมากกว่านี้ เราเห็นสัญญาณเชิงบวกที่ระบบอาหารและบทบาทเกษตรกรรายย่อยเริ่มถูกพูดถึงมากขึ้นทั้งในการเจรจาและในปฏิญญาเบเลงว่าด้วยความหิวโหย ความยากจน และการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศที่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ ยังไม่มีการกล่าวถึงสวัสดิภาพสัตว์เลย ทั้งที่สุขภาวะของสัตว์และสิ่งแวดล้อมของเรานั้นเชื่อมโยงกันอย่างสำคัญ”

ฟาร์มอุตสาหกรรม – รากเหง้าวิกฤตภูมิอากาศและเชื้อดื้อยา
หลังการประชุม COP30 สิ้นสุดไม่นาน World Animal Protection ได้เผยแพร่รายงานดัชนีฟาร์มอุตสาหกรรมทั่วโลก (Factory Farming Index – FFI) ซึ่งชี้ว่าระบบการเลี้ยงสัตว์เชิงอุตสาหกรรมทั่วโลก มีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 29.7% ของการปล่อยทั้งหมด สร้างมลพิษทางน้ำจากกิจกรรมของมนุษย์ราวหนึ่งในสี่ และใช้น้ำจืดราว 14% ของการใช้น้ำของมนุษย์ ระบบฟาร์มอุตสาหกรรมยังใช้พื้นที่เพาะปลูกมากถึง 350 ล้านเฮกตาร์ เทียบเท่าพื้นที่ทั้งประเทศอินเดีย โดยส่วนใหญ่ใช้ปลูกพืชอาหารสัตว์ ไม่ใช่อาหารที่ผู้บริโภคกินโดยตรง
รายงานยังระบุว่า การเลี้ยงไก่ สุกร และโคในระบบฟาร์มอุตสาหกรรมเพื่อผลิตไข่ เนื้อ และผลิตภัณฑ์นม ทำให้ “ปีสุขภาวะ” (Healthy Life Years) สูญเสียไปเฉลี่ยถึง 1.8 ปีต่อคนในระดับโลก จากผลกระทบสะสมต่อสุขภาพมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ส่วนสำคัญมาจากปัญหาการดื้อยาปฏิชีวนะ โดยมีการใช้ยาปฏิชีวนะมากถึง 66,000 ตันกับสัตว์เหล่านี้ในปีเดียว มากกว่าปริมาณที่ใช้กับมนุษย์ถึงสองเท่า ยาส่วนใหญ่ถูกใช้เพื่อป้องกันโรคในสภาพการเลี้ยงที่แออัดและไม่ถูกสุขลักษณะ ไม่ได้จำกัดเฉพาะการรักษาสัตว์ป่วย ฟาร์มอุตสาหกรรมจึงไม่เพียงสร้างภาระต่อสุขภาพคนและสิ่งแวดล้อม แต่ยังทำให้สัตว์มีชีวิตอยู่เพียงช่วงสั้น ๆ ก่อนถูกฆ่า สะท้อนว่าระบบการผลิตที่สร้างความทุกข์ทรมานให้สัตว์ คือระบบเดียวกับที่เร่งวิกฤตภูมิอากาศและเชื้อดื้อยาที่ส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขทั่วโลก
ไทยติดอันดับประเทศผู้ผลิตสัตว์ฟาร์มอุตสาหกรรมสูงของโลก และจำเป็นต้องเร่งเปลี่ยนผ่าน (Just Transition) อย่างเร่งด่วน โดยมีสถานการณ์ประเทศไทยปี 2020 ดังนี้:
ข้อมูลจากดัชนีฟาร์มอุตสาหกรรม (Factory Farming Index 2025) ขององค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกชี้ว่า เมื่อมองรวมทั้งปริมาณการผลิต การใช้ทรัพยากร และการใช้ยาปฏิชีวนะ ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบจากระบบฟาร์มอุตสาหกรรมสูงที่สุดประเทศหนึ่งของโลก สะท้อนว่าไทยเป็น “ผู้ผลิตหลัก” ในห่วงโซ่อาหารระดับโลก มากกว่าจะเป็นประเทศผู้บริโภค (ไทยไม่ติด Top 30 ของ FFI Consumption) ขณะที่ต้องรับต้นทุนทางสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และสวัสดิภาพสัตว์ไว้ในประเทศเอง

โชคดี สมิทธิ์กิตติผล หัวหน้าฝ่ายโครงการ องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวว่า
“ข้อมูลดัชนีฟาร์มอุตสาหกรรมชี้ชัดว่าไทยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสัตว์ฟาร์มอุตสาหกรรมรายใหญ่ของโลก ทั้งการใช้น้ำ การใช้ยาปฏิชีวนะ และผลกระทบต่อระบบนิเวศ เราจำเป็นต้องยอมรับความจริงว่าระบบการผลิตเนื้อสัตว์ปัจจุบันไม่ยั่งยืนต่อสัตว์ เกษตรกร ชุมชน และสุขภาพของคนไทย การเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นธรรม (Just Transition) คือโอกาสสำคัญสำหรับประเทศไทยในการยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร คุ้มครองสัตว์ ลดมลพิษ ตอบโจทย์ปัญหา PM2.5 และลดความเสี่ยงเชื้อดื้อยา พร้อมสร้างระบบอาหารที่ดีต่อผู้คนและโลกของเรา หากไทยเริ่มต้นวันนี้ เราจะสามารถเป็นผู้นำในภูมิภาคด้านระบบอาหารที่ยั่งยืน และเป็นประเทศที่พิสูจน์ว่า ‘สุขภาพของสัตว์ สุขภาพของโลก และสุขภาพของคนไทย’ แยกจากกันไม่ได้เลย

แม้ข้อสรุปของ COP30 จะยังไม่กล้าจัดการกับกลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ (Big Ag) อย่างจริงจัง และไม่มีมาตรการคุ้มครองสัตว์ที่ชัดเจน แต่ World Animal Protection ย้ำว่า ที่ COP31 รัฐบาลต้องหันหลังให้ระบบฟาร์มอุตสาหกรรม และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นธรรมไปสู่ระบบอาหารที่เป็นธรรม มีมนุษยธรรม และยั่งยืน ซึ่งมองสุขภาพของสัตว์ สิ่งแวดล้อม และผู้คนว่าแยกจากกันไม่ได้
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกจะยังคงยืนหยัดเพื่อสัตว์ป่าและสัตว์ในฟาร์มต่อไป จนกว่าเสียงของพวกเขาจะได้รับการรวมเข้าไว้ในการเจรจาภายใต้ UNFCCC (United Nations Framework Convention on Climate Change) และจนกว่าจะมีการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าสวัสดิภาพสัตว์คือหัวใจของการแก้วิกฤตภูมิอากาศและเชื้อดื้อยา
อ่านรายงาน The Factory Farming Index The case for changing the way we feed our world
เครดิตภาพ (C) World Animal Protection





