
นี่คือ Movement ครั้งใหญ่สุดของแบรนด์ในรอบหลายปี—โปรเจ็กต์ MAMACREW ที่ไม่เพียงเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ 6 คน หากแต่เป็น “คอมมูนิตี้ของความจริงใจ” ที่สะท้อนตัวตนใหม่ของมาม่า ผ่านศิลปิน–ครีเอเตอร์หลากสไตล์ที่คนไทยรักและรู้สึกผูกพันเหมือนเพื่อนสนิท

วิสัยทัศน์ใหม่ที่เขย่าวงการอาหารไทย**
“ถ้ามาม่าไม่ใช่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผมมองว่ามาม่าเป็น ‘คน’…คนที่เป็น Life Partner และ Safe Zone ของทุกคน เวลาคนไทยเดินทางไปต่างประเทศแล้วคิดถึงบ้าน สิ่งที่เขานึกถึงคือ ‘มาม่า’ พอเขากลับมาเปิดซอง มันเหมือนกลับบ้านทันที”
— เพชร พะเนียงเวทย์
กรรมการบริษัท และผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด
บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือ SPC
ประโยคนี้คือแกนกลางของการทรานส์ฟอร์มครั้งสำคัญ “มาม่า” ต้องการย้ายสนามรบจาก “ชั้นวางสินค้า” สู่ “พื้นที่ทางอารมณ์” เพราะแบรนด์ไม่ได้ต้องการแค่เพิ่มยอดขาย แต่ต้องการมีบทบาทใน บ้าน—โต๊ะอาหาร—ความคิดถึง—ความอบอุ่น—ความเหงา—ความสำเร็จ ของผู้คน

6 ตัวแทน ‘ความเป็นเพื่อนจริง’ ในแบบมาม่ายุคใหม่**
โปรเจ็กต์นี้ไม่ได้คัดพรีเซ็นเตอร์ด้วยเกณฑ์ความดัง แต่เลือกคนที่มี “ความเป็นมนุษย์” จริง ๆ มีคาแรกเตอร์ที่จับต้องได้ และมีความสัมพันธ์แบบเพื่อน ซึ่งสอดคล้องกับ DNA ใหม่ของแบรนด์ ได้แก่
INK WARUNTORN – อิ้งค์ วรันธร
เจ้าหญิงซินธ์ป็อป ตัวแทนความคิดถึง อบอุ่น และความอ่อนโยน
NONT TANONT – นนท์ ธนนท์
ศิลปินท็อปแห่ง T-pop กับพลังความจริงใจที่แฟนอิน
เสือร้องไห้
ครีเอเตอร์ไวรัลที่เชื่อมทุกคนด้วยพลังมิตรภาพและความสนุก
ทั้งหมดคือสมาชิกที่แบรนด์เรียกว่า “Community Catalyst”—ไม่ใช่แค่หน้าแบรนด์ แต่ทำให้มาม่าเข้าไปอยู่ในบทสนทนาของคนรุ่นใหม่ในโลกออนไลน์ คอนเสิร์ต แฟนด้อม และ Creator Scene ที่ทุกอย่างเปลี่ยนเร็วกว่าเคย
เมื่อมาม่าแปลงรสชาติเป็นเสียงเพลง**
หนึ่งในโปรเจ็กต์ตัวอย่างที่สะท้อนจิตวิญญาณมาม่ายุคใหม่ คือการตั้งคำถามว่า
“ถ้ารสชาติมีเสียง…มันจะดังแบบไหน?”
แบรนด์จึงร่วมมือกับ “โต๋–ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร” เพื่อสร้างอัลบั้ม 4 เพลง 4 อารมณ์ ถ่ายทอดประสบการณ์ “เสียงของชีวิต” เปิดตัวด้วยเพลง “นิดนึงพอ” ที่ขับร้องโดยอิ้งค์ วรันธร ถ่ายทอดความคิดถึงและความอบอุ่น—ไม่ใช่เพื่อยอดขาย แต่เพื่อให้ผู้คนได้ “กลับไปหาช่วงเวลาที่ผูกพันกับมาม่า” ผ่านเสียงเพลง
นี่คือการมาร์เก็ตติ้งที่ขยับจาก Product Marketing ไปสู่ Emotion Marketing อย่างเต็มตัว
“มาม่า” มองว่าคู่แข่งวันนี้ไม่ใช่บะหมี่อีกต่อไป แต่คือ “ความสนใจของผู้คน” บน TikTok, YT, คอนเสิร์ต, แฟนด้อม และวัฒนธรรมป็อป
แบรนด์จึงเปิดรับทุกสิ่งที่เคยถูกมองว่า “ไม่น่าเป็นไปได้”—
Music Marketing, Viral Content, Creator Collab, Pop Culture Activation
เพราะเป้าหมายไม่ใช่การชนะศึก “ราคา” แต่คือการชนะ “ใจคน”
สู่แบรนด์ที่เป็นมนุษย์และเข้าถึงง่ายที่สุดในประเทศ**
กว่าที่มาม่าจะเดินมาถึงจุดนี้ ไม่ใช่การดีดนิ้ว แต่มาจากการวางรากใหม่อย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 5–6 ปี เพื่อให้แบรนด์เติบโตจาก “สินค้าคู่บ้าน” สู่ “เพื่อนร่วมชีวิตของคนไทย”
เฟสใหม่ของแบรนด์คือ…
ไม่ได้แข่งที่เชลฟ์ แต่แข่งในใจผู้บริโภค
ไม่ได้ขายรสชาติ แต่ขายตัวตนและพื้นที่ปลอดภัย
ไม่ได้สื่อสารแบบทางการ แต่พูดแบบ “เพื่อนชวนเพื่อนคุย”
“MAMACREW” จึงเป็นเพียงก้าวแรกของ Movement ที่จะปักหมุดให้ “มาม่า” กลายเป็น Pop Culture ของตัวเองในปีต่อจากนี้

การรีแบรนด์ครั้งนี้ไม่ใช่การรีเฟรชฉลากสินค้า แต่คือการย้ายหัวใจของแบรนด์ให้เข้าไปอยู่ในหัวใจผู้บริโภค มาม่ากำลังสร้าง พื้นที่อารมณ์ ให้คนทุกวัยกลับมาเชื่อมต่อกันผ่านอาหารง่ายๆ ที่เต็มไปด้วยความทรงจำ
“มาม่า” จึงไม่ได้เป็นเพียงแบรนด์ที่อยู่กับคนไทยมานานกว่า 50 ปี—
แต่กำลังก้าวเข้าสู่อีกยุคที่ “จับต้องได้ อบอุ่น เป็นเพื่อนได้จริง”
และมีคอมมูนิตี้อย่าง MAMACREW เป็นตัวเปิดเกมแห่งวัฒนธรรมบทใหม่





