
ลาวเป็นหนึ่งในประเทศเพื่อนบ้านที่มีศักยภาพด้านการลงทุนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ต้นทุนแรงงานและพลังงานต่ำ และที่สำคัญคือทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่ใจกลางอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (CLMV) โดยการเปิดใช้ รถไฟความเร็วสูงลาว–จีน ตั้งแต่ปี 2564 ได้กลายเป็นตัวเร่งสำคัญที่ช่วยเชื่อมโยงเศรษฐกิจการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวสู่จีนและภูมิภาคเอเชีย
ข้อมูลจาก Krungthai COMPASS ชี้ว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) ของลาวคือ ‘โอกาสใหม่’ สำหรับผู้ประกอบการไทยในการเข้าไปลงทุนทั้งการผลิต การบริการ และธุรกิจสนับสนุนที่ต่อยอดจากศักยภาพท้องถิ่น
3 กลุ่มศักยภาพหลักใน SEZ ลาว
การวิเคราะห์ SEZ ทั้ง 12 แห่ง พบว่า สามารถแบ่งศักยภาพการลงทุนออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่
1. อุตสาหกรรมการผลิต เขตสะหวัน–เซโน และเขตไชยเชษฐา
- ทำเลติดชายแดนไทย (มุกดาหาร–หนองคาย) เหมาะสำหรับการผลิตเพื่อส่งออก
- นักลงทุนต่างชาติ เช่น Nikon, Toyota, Essilor เข้ามาตั้งฐานการผลิตแล้ว
- โอกาสของผู้ประกอบการไทย :
- ธุรกิจบริการซ่อมบำรุงเครื่องจักร โลจิสติกส์โรงงาน และฝึกอบรมแรงงาน
- ที่อยู่อาศัย–คลังสินค้าให้เช่า เพื่อรองรับแรงงานและโรงงาน
- เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น ERP ระบบควบคุมการผลิต
Case Study : ธุรกิจฉีดพลาสติกไทยในสะหวัน–เซโน
- ลาวมีต้นทุนแรงงานต่ำกว่าไทย 52% และพลังงานถูกกว่า 32%
- หากผู้ประกอบการไทยตั้งโรงงานฉีดพลาสติกที่นี่ จะช่วยลดต้นทุนรวมได้ราว 11% และเชื่อมต่อเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานของบริษัทญี่ปุ่น–ยุโรปที่อยู่แล้วในพื้นที่

2. การท่องเที่ยวและอสังหาริมทรัพย์ เขตธาตุหลวง (เวียงจันทน์)
- ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเวียงจันทน์ ใกล้สนามบินและสะพานมิตรภาพไทย–ลาวแห่งที่ 1
- พัฒนาเป็น ‘เมืองใหม่’ ที่รวมโรงแรม ศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน และที่อยู่อาศัย
- ความต้องการห้องพักโรงแรมในเวียงจันทน์เติบโตเฉลี่ย 7.7% CAGR (2560–2565)
- โอกาสของผู้ประกอบการไทย :
- อสังหาริมทรัพย์ (คอนโด บ้านจัดสรร อาคารสำนักงาน)
- โรงแรม รีสอร์ต ร้านอาหาร–คาเฟ่
- ค้าปลีกและแฟรนไชส์แบรนด์ไทย
3. การค้าและโลจิสติกส์ เขตบ่อเต็น (หลวงน้ำทา)
- ชายแดนลาว–จีน จุดเชื่อมรถไฟลาว–จีนและถนน R3A
- เหมาะสำหรับโลจิสติกส์ คลังสินค้า ระบบ Cold-Chain และธุรกิจโรงแรม–การเงิน
- โอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทย :
- ศูนย์โลจิสติกส์เชื่อมราง–ถนน คลังสินค้า–ดิวตี้ฟรี
- ธนาคาร–ฟินเทค รองรับเงินหยวน–กีบ
- โรงแรม รีสอร์ต ร้านอาหารเพื่อตลาดนักท่องเที่ยวจีน
เขตดงโพสี (เวียงจันทน์)
- พื้นที่ยุทธศาสตร์ติดท่าบกท่านาแล้ง (Thanaleng Dry Port)
- เป็น ‘ประตูการค้า’ ที่เชื่อมรถไฟ–ถนน ไทย–ลาว–จีน
- โอกาสของผู้ประกอบการไทย : ธุรกิจโรงแรม–พาณิชย์–โลจิสติกส์

นิคมใหม่ ‘อมตะ–นาหม้อ’ : ฐานการผลิตยุทธศาสตร์
ปี 2565 บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) จากไทย ลงทุนพัฒนา นิคมอุตสาหกรรมอมตะนาหม้อและนาเตย ใกล้ชายแดนจีน–ลาว บนพื้นที่กว่า 20,000 ไร่ ตั้งเป้าเป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart & Eco City) รองรับอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ไฟฟ้า เกษตรแปรรูป พลังงานสะอาด
- ใช้แนวคิด ‘China Plus One’ กระจายความเสี่ยงการลงทุนจากจีน
- เชื่อมตรงเครือข่ายรถไฟลาว–จีน เข้าถึงตลาดจีนได้สะดวก
- เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าไปเป็น ซัพพลายเออร์และผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน

ปัจจัยสนับสนุนและความท้าทาย
จุดแข็ง
- ทำเลกลางภูมิภาค เชื่อมจีน–อาเซียน
- ต้นทุนแรงงาน–พลังงานต่ำ
- สิทธิประโยชน์ด้านภาษีใน SEZ
- การเชื่อมโยงผ่าน RCEP, อาเซียน, WTO
ความท้าทาย
- ความไม่แน่นอนของกฎหมายและระเบียบลาว
- ค่าเงินกีบอ่อนค่า กระทบต้นทุนและกำไร
- ข้อจำกัดด้านแรงงานทักษะสูง
- ต้องศึกษากระบวนการลงทุนและสร้างพันธมิตรท้องถิ่น
บทสรุป
การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษของลาว โดยเฉพาะเมื่อเชื่อมต่อกับ รถไฟความเร็วสูงลาว–จีน ได้สร้าง ‘โอกาสใหม่’ ให้ผู้ประกอบการไทย ทั้งในด้านอุตสาหกรรมการผลิต การท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ และโลจิสติกส์
แม้จะยังมีความท้าทายด้านกฎระเบียบและค่าเงิน แต่ด้วยความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม และความต้องการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ลาวจึงเป็น ตลาดเพื่อนบ้านที่น่าจับตามอง และอาจกลายเป็น ‘ฐานใหม่’ ของผู้ประกอบการไทยในเวทีอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
บทความจากนิตยสาร MarketPlus ฉบับที่ 181 October-November
เรียบเรียงโดย...สุพัชรี ผุดผ่อง
[อ่าน 435]