
ข้อมูลล่าสุดจาก Jobsdb by SEEK สะท้อนว่า องค์กรไทยจำนวนมากเริ่มปรับกลยุทธ์การบริหารทรัพยากรบุคคล โดยขยับจากการดูแลเชิงพื้นฐาน ไปสู่การออกแบบสวัสดิการที่ตอบโจทย์ Well-being แบบองค์รวม ครอบคลุมทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ ความสมดุลชีวิต–การทำงาน และความมั่นคงทางการเงิน ซึ่งทั้งหมดกำลังกลายเป็น “หัวใจ” ของการรักษาคนทำงานยุคใหม่
ท่ามกลางแรงกดดันจากการทำงานในยุคดิจิทัล การลาหยุดเพื่อดูแลสุขภาพจิตและครอบครัวกำลังได้รับความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน รายงาน Hiring, Compensation & Benefits (HCB) Report 2025 ระบุว่า
11% ขององค์กร มีแผนเพิ่มวันลาสุขภาพจิต (Mental Health Day Off)
15% เตรียมเพิ่มวันลาพิเศษเพื่อดูแลครอบครัว (Family Care Leave)
ขณะที่วันลาพักร้อนยังคงเป็นสิทธิพื้นฐาน แต่การเพิ่มวันลาพิเศษเหล่านี้สะท้อนมุมมองใหม่ขององค์กรที่เริ่ม “มองคนทำงานในฐานะมนุษย์” มากกว่าทรัพยากร ซึ่งช่วยลดความเครียด เพิ่มความผูกพัน และสร้างแรงจูงใจในการทำงานได้อย่างมีนัยสำคัญ
Jobsdb by SEEK ชี้ว่า นิยามของ Well-being ในโลกการทำงานปัจจุบันได้ขยายไปไกลกว่าการดูแลร่างกายและจิตใจ แต่ครอบคลุมถึง ความมั่นคงทางการเงินและความโปร่งใสด้านผลตอบแทน ด้วย
ข้อมูลระบุว่า
79% ขององค์กรไทย เปิดเผยหลักเกณฑ์การจ่ายโบนัสอย่างชัดเจน
84% ยังคงจ่ายโบนัสตามผลงาน
มากกว่า 85% มีนโยบายปรับเงินเดือน โดยส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 1–5%
ค่าเฉลี่ยโบนัสรวมอยู่ที่ประมาณ 1.8 เดือน
ความโปร่งใสในระบบค่าตอบแทนจึงไม่ใช่เพียงเครื่องมือสร้างแรงจูงใจระยะสั้น แต่เป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและรักษาคนเก่งให้อยู่กับองค์กรในระยะยาว
คุณดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ Jobsdb by SEEK ประเทศไทย ระบุว่า ตลาดแรงงานไทยปี 2568 กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน องค์กรที่สามารถปรับตัวและเข้าใจความต้องการของคนทำงานรุ่นใหม่ จะได้เปรียบในการแข่งขันอย่างชัดเจน
Jobsdb by SEEK ยืนยันว่า องค์กรที่ให้ความสำคัญกับ Well-being แบบรอบด้าน ผ่านสวัสดิการที่ยืดหยุ่น วันลาสุขภาพจิต วันลาพิเศษเพื่อครอบครัว และระบบผลตอบแทนที่โปร่งใส จะสามารถสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่แข็งแกร่ง รักษาบุคลากรคุณภาพ และเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ในวันที่ “คน” กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่สุดของความสำเร็จทางธุรกิจ การลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตของพนักงาน จึงไม่ใช่ต้นทุน แต่คือกลยุทธ์ระยะยาวที่องค์กรยุคใหม่ไม่อาจมองข้าม





