
ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนพลังของพันธมิตรในการผลักดันหลักนิติธรรมให้เป็นมากกว่านโยบาย แต่เป็น “วัฒนธรรมทางกฎหมาย” ที่หยั่งรากในสังคมไทย โดยอาศัยข้อมูลและมาตรฐานสากลจาก WJP ควบคู่กับบทบาทของภาคธุรกิจในการสะท้อนต้นทุนจริงของกติกาที่ไม่เป็นธรรม และความจำเป็นของกฎเกณฑ์ที่โปร่งใส คาดการณ์ได้ และแข่งขันได้
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) กล่าวว่า หลักนิติธรรม คือรากฐานสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยบนเวทีโลก ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ความเชื่อมั่นของนักลงทุนขึ้นอยู่กับเสถียรภาพและประสิทธิภาพของกลไกภาครัฐ กติกาที่เป็นธรรม ตลอดจนระบบยุติธรรมที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องเร่งปฏิรูปโครงสร้างเชิงสถาบัน โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศกำลังอยู่ในกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD เพราะความเข้มแข็งของหลักนิติธรรม เป็นปัจจัยชี้วัดความสำเร็จที่ OECD ใช้ประเมินความพร้อมของประเทศในการก้าวสู่มาตรฐานสากล
ความร่วมมือระหว่าง TIJ กับ World Justice Project ช่วยให้ประเทศไทยมองเห็นจุดแข็ง จุดอ่อน และช่องว่างเชิงโครงสร้างบนฐานข้อมูลและมาตรฐานสากล นำไปสู่การออกแบบนโยบายบนข้อมูลที่สะท้อน Feedback จากประสบการณ์จริงของประชาชน ซึ่งช่วยตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้ตรงจุด และพัฒนากลไกการติดตามและวัดผลความสำเร็จได้จริงและเป็นระบบ
TIJ เชื่อว่า การยกระดับหลักนิติธรรมไม่สามารถดำเนินการได้โดยรัฐเพียงลำพัง จึงขอประกาศจุดยืนในการร่วมกับทุกภาคส่วน รวมถึง คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ผลักดันให้เกิด Rule of Law Policy Framework ที่จะเป็นกรอบทิศทางการทำงานที่มีความต่อเนื่องแม้ว่าการเมืองจะเปลี่ยนแปลง ครอบคลุมการปฏิรูปกฎหมาย การป้องกันคอร์รัปชั่น การส่งเสริมรัฐบาลเปิด การยกระดับกระบวนการยุติธรรม และการคุ้มครองสิทธิประชาชน ผ่านแนวทาง Whole-of-Society Approach เพื่อเปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคต และในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมือง Framework นี้จะทำหน้าที่เป็น "เข็มทิศนโยบาย" ให้พรรคการเมืองนำไปใช้แข่งขันทางนโยบายอย่างสร้างสรรค์ ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องมือให้ประชาชนใช้ตั้งคำถามและติดตามการทำงานของรัฐบาลในอนาคต เพื่อสร้างระบบนิเวศทางสังคมที่โปร่งใสและยั่งยืน
ดร. ศรีรักษ์ ผลิพัฒน์ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก World Justice Project กล่าวว่า จากรายงานดัชนีหลักนิติธรรมประจำปี 2568 (WJP Rule of Law Index 2025) ประเทศไทยได้พิสูจน์ให้เห็นถึง 'ศักยภาพ' ในการรักษาสถานะที่มีเสถียรภาพท่ามกลางกระแสถดถอยของหลักนิติธรรมทั่วโลก ด้วยคะแนนภาพรวม 0.50 โดยเราพบจุดแข็งที่โดดเด่นในด้านความสงบเรียบร้อย (Order and Security) และความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อความซื่อสัตย์สุจริตของสถาบันตุลาการ ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญที่หาได้ยากในหลายประเทศ
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลชุดเดียวกันนี้ได้ฉายภาพ 'ข้อท้าทาย' ที่ไม่อาจมองข้าม ทั้งในเรื่องประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่ต้องเร่งปรับปรุง ปัญหาการเลือกปฏิบัติในสังคมที่ตัวเลขกำลังเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงอุปสรรคเชิงโครงสร้างในการออกใบอนุญาตภาครัฐที่กลายเป็นต้นทุนแฝงของประเทศ

WJP เชื่อมั่นว่า “ข้อมูลคือเข็มทิศของการปฏิรูป' และพร้อมให้การ สนับสนุนประเทศไทยอย่างเต็มที่ ในการนำข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ไปแปลงเป็นยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อปิดช่องว่างความเหลื่อมล้ำและยกระดับความโปร่งใส โดย WJP ยินดีที่จะเดินหน้าทำงานร่วมกับภาครัฐและประชาสังคมไทย เพื่อสร้างระบบนิเวศแห่งความยุติธรรมที่ตอบโจทย์และคุ้มครองคนไทยทุกคนได้อย่างแท้จริง"
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และประธาน คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) แสดงการสนับสนุนการขับเคลื่อนการยกระดับ “หลักนิติธรรม” ของประเทศไทย ผ่านความร่วมมือระหว่างสถาบันเพื่อการยุติธรรม แห่งประเทศไทย (TIJ) และ World Justice Project (WJP) เพื่อผลักดันกรอบนโยบายหลักนิติธรรมจากข้อมูลเชิงดัชนี สู่การปฏิบัติจริงในเชิงโครงสร้าง โดย คุณพจน์ ระบุว่า หลักนิติธรรมไม่ใช่เพียงประเด็นทางกฎหมาย แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของธรรมาภิบาล ความเชื่อมั่น และความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
ดร.พจน์ กล่าวว่า จากมุมมองของภาคธุรกิจ Rule of Law และ Level Playing Field เป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุน ภาคเอกชนไม่ได้กังวลต่อการมีกฎระเบียบ แต่กังวลต่อกติกาที่ไม่ชัดเจนไม่เสมอภาค และไม่สามารถคาดการณ์ได้ โดยผู้ประกอบการสะท้อนปัญหาหลัก 3 ประการ ได้แก่ การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นมาตรฐานเดียวกันและล้าสมัย กระบวนการอนุญาตที่ซับซ้อน ใช้เวลานาน และพึ่งพาดุลยพินิจสูง รวมถึงการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียม โดยเฉพาะ ต่อผู้ประกอบการ SMEs และ ธุรกิจใหม่ ซึ่งล้วนเป็นต้นทุนแฝงที่บั่นทอนศักยภาพเศรษฐกิจไทย
ในส่วนของการแก้ไขปัญหา กกร. ได้ขับเคลื่อนการทำงานเชิงรุกผ่านโครงการ “Zero Corruption: กกร. และเพื่อน ไม่ทน” โดยผนึกกำลังกับภาคีภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาควิชาการ เพื่อผลักดัน Action Plan ที่นำไปสู่การปฏิบัติได้จริง อาทิ การลดดุลยพินิจผ่านระบบดิจิทัล การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐตามมาตรฐานสากล การใช้เทคโนโลยีเพื่อความโปร่งใส และการคุ้มครองผู้เปิดเผยข้อมูล ดร.พจน์ย้ำว่าหากภาคธุรกิจเข้มแข็งและดำเนินงานอยู่บนระบบที่เป็นธรรม ประเทศไทยจะสามารถปลดล็อกการเติบโตใหม่ และสร้างเศรษฐกิจที่โปร่งใส ยุติธรรม และยั่งยืนได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้เราจะเปิดตัวโครงการสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันของพรรคการเมืองไทย รณรงค์ "ไม่เลือกคนโกง" สู่เป้าหมาย Zero Corruption ซึ่งโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญรณรงค์ “ ไม่ทนคอร์รัปชัน” หรือ “ไม่มีนโยบายต้านโกง เราไม่เลือก” เพื่อสร้างความตระหนักให้ประชาชนไม่เลือกผู้สมัคร ที่ไม่โปร่งใส มีประวัติการทุจริต หรือเป็นทุนเทา/สแกมเมอร์ เข้ามาเป็นผู้แทนราษฎรหรือรัฐมนตรี เพราะ "เสียงของประชาชนคือเสียงชี้ขาด" ในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมที่ปลอดคอร์รัปชัน โดยย้ำว่า “คนไทยไม่ทนคอร์รัปชั่น”
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า ในมุมมองภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ หลักนิติธรรมไม่ใช่เรื่องเชิงอุดมคติ แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขัน ภาคธุรกิจไม่ได้ต้องการอภิสิทธิ์ หากแต่ต้องการกติกาที่เป็นธรรม ชัดเจน และคาดการณ์ได้ เพราะความไม่แน่นอนของกฎหมายและการกำกับดูแลของรัฐสร้างต้นทุนแฝงให้ทั้งระบบเศรษฐกิจ ทั้งในด้านต้นทุนการผลิต การลงทุนที่ชะลอตัว และศักยภาพการแข่งขันที่ลดลง
ข้อมูลจาก WJP Rule of Law Index สะท้อนความท้าทายเชิงโครงสร้างของไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะขั้นตอนการอนุญาต การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่สม่ำเสมอ และกฎระเบียบที่ซ้ำซ้อน ซึ่งบั่นทอนศักยภาพอุตสาหกรรมไทยในระยะยาว ยิ่งในบริบทที่ประเทศไทยมุ่งสู่การเป็นสมาชิก OECD หลักนิติธรรมยิ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั่วโลก เนื่องจาก OECD ให้ความสำคัญกับธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรมในฐานะรากฐานของการเติบโตอย่างยั่งยืน
ส.อ.ท. เห็นว่า การขับเคลื่อน Thailand Rule of Law National Strategy เป็นโอกาสสำคัญในการยกระดับกติกาประเทศ โดยภาคธุรกิจพร้อมมีส่วนร่วมทั้งการสะท้อนปัญหา การผลักดันการปฏิรูปเชิงระบบ และการออกแบบกติกาที่ลดโอกาสทุจริต อีกทั้งยังเป็นจุดยืนร่วมของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งสะท้อนฉันทามติของภาคธุรกิจไทยว่า หลักนิติธรรมที่เข้มแข็งคือรากฐานของความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ เสถียรภาพระบบการเงิน และการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า หลักนิติธรรม (Rule of Law) เป็นหนึ่งในความท้าทายของประเทศที่ถูกระบุใน Reinvent Thailand ซึ่งเชื่อมโยงกับการที่ประเทศมีเศรษฐกิจนอกระบบสูงถึง 48% ของ GDP มีความเหลื่อมล้ำที่อยู่ในระดับสูง การมีอำนาจเหนือตลาดของผู้เล่นรายใหญ่ ประสิทธิภาพของภาครัฐจากกฎระเบียบจำนวนมาก และปัญหาด้านคอร์รัปชัน ซึ่งที่ผ่านมาเป็นต้นทุนแฝงต่อธุรกิจ และเป็นคอขวดที่สำคัญของการเติบโตของเศรษฐกิจและ Trust & Confidence ที่เป็นพื้นฐานสำคัญของการดึงดูดการลงทุนให้อยู่ในประเทศ
ทั้งนี้ ประเทศไทยจำเป็นต้อง ยกระดับ Rule of Law ผ่านความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเริ่มจากการเชื่อมโยงข้อมูลและสร้างความโปร่งใสในทุกระดับ เพื่อให้ประชาชนเป็น “Informed Citizen” ที่รับรู้ เข้าใจ และเท่าทันพลวัตของโลก เกิดการมีส่วนร่วมและการถกเถียงเชิงสาธารณะอย่างสร้างสรรค์บนข้อเท็จจริง นำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายที่ตรงจุด ตรวจสอบได้ และวัดผลได้จริง ซึ่ง World Justice Project (WJP) ชี้ว่าการยกระดับ Rule of Law มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับเศรษฐกิจที่เติบโตดี ระบบการศึกษาดี สังคมสงบสุข และความเป็นอยู่ของประชาชนที่ดี สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (UN Sustainable Development Goals: SDGs) และแนวทางการเข้าร่วมเป็นสมาชิก OECD ของไทย
นอกจากนี้ เป็นนิมิตรหมายที่ดีที่ประเทศไทยมี แพลตฟอร์มความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรระหว่างประเทศ โดย กกร. ได้ร่วมผลักดันโครงการ Reinvent Thailand พลวัตใหม่เพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทย ผสานพลังการทำงานจากทุกภาคส่วน (Co-Creation and Execution) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายสาธารณะ ภายใต้ข้อจำกัดที่เพิ่มขึ้นในด้านการคลังของประเทศ เสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน นำไปสู่การพัฒนาอย่างครอบคลุม เท่าเทียม และยั่งยืน





