TIJ ผนึก WJP และ กกร. รวมพลังภาครัฐ–เอกชน ยกระดับหลักนิติธรรมไทย สร้างความเชื่อมั่นในระดับสากล
18 Dec 2025

สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ประกาศความร่วมมือกับ World Justice Project (WJP) และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย สมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการยกระดับ “หลักนิติธรรม” ของประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม โดยมุ่งสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบกฎหมายไทย ควบคู่กับการเสริมภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของประเทศในสายตานานาชาติและ OECD

 

ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนพลังของพันธมิตรในการผลักดันหลักนิติธรรมให้เป็นมากกว่านโยบาย แต่เป็น “วัฒนธรรมทางกฎหมาย” ที่หยั่งรากในสังคมไทย โดยอาศัยข้อมูลและมาตรฐานสากลจาก WJP ควบคู่กับบทบาทของภาคธุรกิจในการสะท้อนต้นทุนจริงของกติกาที่ไม่เป็นธรรม และความจำเป็นของกฎเกณฑ์ที่โปร่งใส คาดการณ์ได้ และแข่งขันได้

 

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) กล่าวว่า หลักนิติธรรม คือรากฐานสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยบนเวทีโลก ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ความเชื่อมั่นของนักลงทุนขึ้นอยู่กับเสถียรภาพและประสิทธิภาพของกลไกภาครัฐ กติกาที่เป็นธรรม ตลอดจนระบบยุติธรรมที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องเร่งปฏิรูปโครงสร้างเชิงสถาบัน โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศกำลังอยู่ในกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD เพราะความเข้มแข็งของหลักนิติธรรม เป็นปัจจัยชี้วัดความสำเร็จที่ OECD ใช้ประเมินความพร้อมของประเทศในการก้าวสู่มาตรฐานสากล

 

ความร่วมมือระหว่าง TIJ กับ World Justice Project ช่วยให้ประเทศไทยมองเห็นจุดแข็ง จุดอ่อน และช่องว่างเชิงโครงสร้างบนฐานข้อมูลและมาตรฐานสากล นำไปสู่การออกแบบนโยบายบนข้อมูลที่สะท้อน Feedback จากประสบการณ์จริงของประชาชน ซึ่งช่วยตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้ตรงจุด และพัฒนากลไกการติดตามและวัดผลความสำเร็จได้จริงและเป็นระบบ

 

TIJ เชื่อว่า การยกระดับหลักนิติธรรมไม่สามารถดำเนินการได้โดยรัฐเพียงลำพัง จึงขอประกาศจุดยืนในการร่วมกับทุกภาคส่วน รวมถึง คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ผลักดันให้เกิด Rule of Law Policy Framework  ที่จะเป็นกรอบทิศทางการทำงานที่มีความต่อเนื่องแม้ว่าการเมืองจะเปลี่ยนแปลง ครอบคลุมการปฏิรูปกฎหมาย การป้องกันคอร์รัปชั่น การส่งเสริมรัฐบาลเปิด การยกระดับกระบวนการยุติธรรม และการคุ้มครองสิทธิประชาชน ผ่านแนวทาง Whole-of-Society Approach เพื่อเปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคต และในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมือง Framework นี้จะทำหน้าที่เป็น "เข็มทิศนโยบาย" ให้พรรคการเมืองนำไปใช้แข่งขันทางนโยบายอย่างสร้างสรรค์ ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องมือให้ประชาชนใช้ตั้งคำถามและติดตามการทำงานของรัฐบาลในอนาคต เพื่อสร้างระบบนิเวศทางสังคมที่โปร่งใสและยั่งยืน

 

ดร. ศรีรักษ์ ผลิพัฒน์ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก World Justice Project กล่าวว่า จากรายงานดัชนีหลักนิติธรรมประจำปี 2568 (WJP Rule of Law Index 2025) ประเทศไทยได้พิสูจน์ให้เห็นถึง 'ศักยภาพ' ในการรักษาสถานะที่มีเสถียรภาพท่ามกลางกระแสถดถอยของหลักนิติธรรมทั่วโลก ด้วยคะแนนภาพรวม 0.50 โดยเราพบจุดแข็งที่โดดเด่นในด้านความสงบเรียบร้อย (Order and Security) และความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อความซื่อสัตย์สุจริตของสถาบันตุลาการ ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญที่หาได้ยากในหลายประเทศ

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลชุดเดียวกันนี้ได้ฉายภาพ 'ข้อท้าทาย' ที่ไม่อาจมองข้าม ทั้งในเรื่องประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่ต้องเร่งปรับปรุง ปัญหาการเลือกปฏิบัติในสังคมที่ตัวเลขกำลังเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงอุปสรรคเชิงโครงสร้างในการออกใบอนุญาตภาครัฐที่กลายเป็นต้นทุนแฝงของประเทศ

 

 

WJP เชื่อมั่นว่า “ข้อมูลคือเข็มทิศของการปฏิรูป' และพร้อมให้การ สนับสนุนประเทศไทยอย่างเต็มที่ ในการนำข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ไปแปลงเป็นยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อปิดช่องว่างความเหลื่อมล้ำและยกระดับความโปร่งใส โดย WJP ยินดีที่จะเดินหน้าทำงานร่วมกับภาครัฐและประชาสังคมไทย เพื่อสร้างระบบนิเวศแห่งความยุติธรรมที่ตอบโจทย์และคุ้มครองคนไทยทุกคนได้อย่างแท้จริง"

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และประธาน คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) แสดงการสนับสนุนการขับเคลื่อนการยกระดับ “หลักนิติธรรม” ของประเทศไทย ผ่านความร่วมมือระหว่างสถาบันเพื่อการยุติธรรม แห่งประเทศไทย (TIJ) และ World Justice Project (WJP) เพื่อผลักดันกรอบนโยบายหลักนิติธรรมจากข้อมูลเชิงดัชนี  สู่การปฏิบัติจริงในเชิงโครงสร้าง โดย คุณพจน์ ระบุว่า หลักนิติธรรมไม่ใช่เพียงประเด็นทางกฎหมาย แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของธรรมาภิบาล ความเชื่อมั่น และความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

ดร.พจน์ กล่าวว่า จากมุมมองของภาคธุรกิจ Rule of Law และ Level Playing Field เป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุน ภาคเอกชนไม่ได้กังวลต่อการมีกฎระเบียบ แต่กังวลต่อกติกาที่ไม่ชัดเจนไม่เสมอภาค และไม่สามารถคาดการณ์ได้ โดยผู้ประกอบการสะท้อนปัญหาหลัก 3 ประการ ได้แก่ การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นมาตรฐานเดียวกันและล้าสมัย กระบวนการอนุญาตที่ซับซ้อน ใช้เวลานาน และพึ่งพาดุลยพินิจสูง รวมถึงการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียม โดยเฉพาะ ต่อผู้ประกอบการ SMEs และ  ธุรกิจใหม่ ซึ่งล้วนเป็นต้นทุนแฝงที่บั่นทอนศักยภาพเศรษฐกิจไทย

ในส่วนของการแก้ไขปัญหา กกร. ได้ขับเคลื่อนการทำงานเชิงรุกผ่านโครงการ “Zero Corruption: กกร. และเพื่อน ไม่ทน” โดยผนึกกำลังกับภาคีภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาควิชาการ เพื่อผลักดัน  Action Plan ที่นำไปสู่การปฏิบัติได้จริง อาทิ การลดดุลยพินิจผ่านระบบดิจิทัล การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐตามมาตรฐานสากล การใช้เทคโนโลยีเพื่อความโปร่งใส และการคุ้มครองผู้เปิดเผยข้อมูล ดร.พจน์ย้ำว่าหากภาคธุรกิจเข้มแข็งและดำเนินงานอยู่บนระบบที่เป็นธรรม ประเทศไทยจะสามารถปลดล็อกการเติบโตใหม่ และสร้างเศรษฐกิจที่โปร่งใส ยุติธรรม และยั่งยืนได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้เราจะเปิดตัวโครงการสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันของพรรคการเมืองไทย  รณรงค์  "ไม่เลือกคนโกง"   สู่เป้าหมาย Zero Corruption ซึ่งโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญรณรงค์ “  ไม่ทนคอร์รัปชัน” หรือ “ไม่มีนโยบายต้านโกง เราไม่เลือก” เพื่อสร้างความตระหนักให้ประชาชนไม่เลือกผู้สมัคร  ที่ไม่โปร่งใส มีประวัติการทุจริต หรือเป็นทุนเทา/สแกมเมอร์ เข้ามาเป็นผู้แทนราษฎรหรือรัฐมนตรี เพราะ  "เสียงของประชาชนคือเสียงชี้ขาด" ในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมที่ปลอดคอร์รัปชัน  โดยย้ำว่า “คนไทยไม่ทนคอร์รัปชั่น”

 

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า ในมุมมองภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ หลักนิติธรรมไม่ใช่เรื่องเชิงอุดมคติ แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขัน ภาคธุรกิจไม่ได้ต้องการอภิสิทธิ์ หากแต่ต้องการกติกาที่เป็นธรรม ชัดเจน และคาดการณ์ได้ เพราะความไม่แน่นอนของกฎหมายและการกำกับดูแลของรัฐสร้างต้นทุนแฝงให้ทั้งระบบเศรษฐกิจ ทั้งในด้านต้นทุนการผลิต การลงทุนที่ชะลอตัว และศักยภาพการแข่งขันที่ลดลง

 

ข้อมูลจาก WJP Rule of Law Index สะท้อนความท้าทายเชิงโครงสร้างของไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะขั้นตอนการอนุญาต การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่สม่ำเสมอ และกฎระเบียบที่ซ้ำซ้อน ซึ่งบั่นทอนศักยภาพอุตสาหกรรมไทยในระยะยาว ยิ่งในบริบทที่ประเทศไทยมุ่งสู่การเป็นสมาชิก OECD หลักนิติธรรมยิ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั่วโลก เนื่องจาก OECD ให้ความสำคัญกับธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรมในฐานะรากฐานของการเติบโตอย่างยั่งยืน

ส.อ.ท. เห็นว่า การขับเคลื่อน Thailand Rule of Law National Strategy เป็นโอกาสสำคัญในการยกระดับกติกาประเทศ โดยภาคธุรกิจพร้อมมีส่วนร่วมทั้งการสะท้อนปัญหา การผลักดันการปฏิรูปเชิงระบบ และการออกแบบกติกาที่ลดโอกาสทุจริต อีกทั้งยังเป็นจุดยืนร่วมของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งสะท้อนฉันทามติของภาคธุรกิจไทยว่า หลักนิติธรรมที่เข้มแข็งคือรากฐานของความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ เสถียรภาพระบบการเงิน และการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว


นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า หลักนิติธรรม (Rule of Law) เป็นหนึ่งในความท้าทายของประเทศที่ถูกระบุใน Reinvent Thailand ซึ่งเชื่อมโยงกับการที่ประเทศมีเศรษฐกิจนอกระบบสูงถึง 48% ของ GDP มีความเหลื่อมล้ำที่อยู่ในระดับสูง การมีอำนาจเหนือตลาดของผู้เล่นรายใหญ่ ประสิทธิภาพของภาครัฐจากกฎระเบียบจำนวนมาก และปัญหาด้านคอร์รัปชัน ซึ่งที่ผ่านมาเป็นต้นทุนแฝงต่อธุรกิจ และเป็นคอขวดที่สำคัญของการเติบโตของเศรษฐกิจและ Trust & Confidence ที่เป็นพื้นฐานสำคัญของการดึงดูดการลงทุนให้อยู่ในประเทศ

ทั้งนี้ ประเทศไทยจำเป็นต้อง ยกระดับ Rule of Law ผ่านความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเริ่มจากการเชื่อมโยงข้อมูลและสร้างความโปร่งใสในทุกระดับ เพื่อให้ประชาชนเป็น “Informed Citizen” ที่รับรู้ เข้าใจ และเท่าทันพลวัตของโลก เกิดการมีส่วนร่วมและการถกเถียงเชิงสาธารณะอย่างสร้างสรรค์บนข้อเท็จจริง นำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายที่ตรงจุด ตรวจสอบได้ และวัดผลได้จริง ซึ่ง World Justice Project (WJP) ชี้ว่าการยกระดับ Rule of Law มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับเศรษฐกิจที่เติบโตดี ระบบการศึกษาดี สังคมสงบสุข และความเป็นอยู่ของประชาชนที่ดี สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (UN Sustainable Development Goals: SDGs) และแนวทางการเข้าร่วมเป็นสมาชิก OECD ของไทย

นอกจากนี้ เป็นนิมิตรหมายที่ดีที่ประเทศไทยมี แพลตฟอร์มความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรระหว่างประเทศ โดย กกร. ได้ร่วมผลักดันโครงการ Reinvent Thailand  พลวัตใหม่เพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทย ผสานพลังการทำงานจากทุกภาคส่วน  (Co-Creation and Execution) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายสาธารณะ ภายใต้ข้อจำกัดที่เพิ่มขึ้นในด้านการคลังของประเทศ เสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน นำไปสู่การพัฒนาอย่างครอบคลุม เท่าเทียม และยั่งยืน

[อ่าน 52]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กรุงเทพประกันชีวิต คว้า SET ESG ระดับ AA ต่อเนื่องปีที่ 5 ควบ CGR 5 ดาว ตอกย้ำองค์กรยั่งยืน
ธนาคารกสิกรไทยขานรับมติกนง. ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% มีผล 22 ธ.ค. 2568
‘ลูกชิ้นกุ้ง GON วัดกึ๋น’ เปิดแมตช์คีบปิงปองสุดมันส์ คีบปุ๊บรับลูกชิ้นกุ้งเพิ่มทันที!
ผู้บริหาร “เดอะ เจ๊นซ์” นำทัพโปรตีกอล์ฟ เข้าพบผู้บริหาร “บางจากฯ” 
สวัสดีปีใหม่ พร้อมขอบคุณที่ให้การสนับสนุน
Maison Berger Paris ให้คุณเติมบรรยากาศแห่งความสุขช่วงคริสต์มาส ด้วยน้ำหอมสำหรับบ้านสุดพิเศษ
อาร์ทีบีฯ เปิดตัว “JLab JBuds Party” ลำโพงไซส์ใหญ่ในซีรีส์ JLab Party
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved