

มูลค่าส่งออกสินค้าไทยในเดือนพฤศจิกายน 2568 อยู่ที่ 27,445.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 7.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน ใกล้เคียงกับที่ SCB EIC คาดการณ์ไว้ แม้ตัวเลขยังเป็นบวก แต่เมื่อดูในเชิง “ปรับฤดูกาล” กลับพบว่าส่งออกหดตัว -2.3% จากเดือนก่อนหน้า ต่อเนื่องจาก -1.2% ในเดือนตุลาคม สะท้อนว่าการเติบโตเริ่มแผ่วลง
อย่างไรก็ตาม หากดูภาพรวม 11 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกไทยยังเติบโตแข็งแกร่งถึง 12.6% จากหลายแรงหนุนที่เกิดขึ้นในปีนี้
แรงขับเคลื่อนหลักยังมาจากการส่งออกไป “สหรัฐอเมริกา” ที่พุ่งแรงถึง 37.9% ในเดือนพฤศจิกายน แม้หลายสินค้าจะถูกตั้งกำแพงภาษีแล้วก็ตาม โดย 11 จาก 15 สินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ยังขยายตัวดี โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ซึ่งโตถึง 120%
ในภาพรวม สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยยังอยู่ในวัฏจักรขาขึ้นตามความต้องการโลก และกระแสการลงทุนใน Data Center และอุตสาหกรรมดิจิทัล ทำให้
เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ โต 59.9%
แผงวงจรไฟฟ้า โต 17.1%
ในทางกลับกัน “ทองคำ” ซึ่งเคยเป็นแรงหนุนสำคัญตลอด 9 เดือนแรกของปี กลับกลายเป็นตัวฉุดในช่วง 2 เดือนหลัง การส่งออกทองคำไม่ขึ้นรูปในเดือนพฤศจิกายนหดตัวแรงถึง -51.2% ต่อเนื่องจาก -76.9% ในเดือนก่อนหน้า ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานสูงในปีก่อน และราคาทองที่เริ่มชะลอหลังพุ่งแรงไปแล้วก่อนหน้า

ด้านการนำเข้า เดือนพฤศจิกายนมีมูลค่า 30,172.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โตถึง 17.6% สูงกว่าที่คาดไว้มาก โดยเฉพาะการนำเข้า “แผงวงจรไฟฟ้า” ที่พุ่งถึง 195.1% โดยนำเข้าจากไต้หวันเพิ่มขึ้นถึง 605% คิดเป็นกว่า 80% ของการนำเข้าแผงวงจรทั้งหมด
การนำเข้าที่เร่งตัวแรงกว่าส่งออก ทำให้ไทยขาดดุลการค้าในเดือนนี้สูงถึง -2,726.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และขาดดุลสะสม 11 เดือนแรกของปี -4,956 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
SCB EIC เตือน ปี 2569 ส่งออกไทยเสี่ยง “ติดลบ”
SCB EIC ประเมินว่า แม้ปี 2568 การส่งออกจะออกมาดี แต่ปี 2569 มีโอกาสหดตัว -1.5% (ระบบดุลการชำระเงิน) จากปัจจัยกดดันสำคัญหลายด้าน ได้แก่
เศรษฐกิจโลกและการค้าโลกชะลอ จากผลเต็มรูปแบบของนโยบายภาษีสหรัฐฯ
แรงหนุนพิเศษในปีนี้จะหมดไป เช่น การเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ และการส่งออกทองคำพิเศษ
ฐานสูงในปี 2568
การแข่งขันในตลาดโลกที่รุนแรงขึ้น เมื่อหลายประเทศพยายามกระจายความเสี่ยงออกจากตลาดสหรัฐฯ
ค่าเงินบาทแข็ง ซึ่งแข็งค่ากว่า 9% ตั้งแต่ต้นปี 2568 ทำให้สินค้าไทยเสียเปรียบด้านราคา โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก
นอกจากปัจจัยพื้นฐานแล้ว การส่งออกไทยยังเผชิญความเสี่ยงเพิ่มเติม เช่น
ภาษีเฉพาะรายสินค้า (Sectoral tariff) และภาษีสวมสิทธิ์ (Transshipment tariff) ของสหรัฐฯ ที่อาจสูงกว่า 19%
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีน–สหรัฐฯ
ความไม่แน่นอนของข้อตกลงการค้าไทย–สหรัฐฯ
สินค้าจีนและสหรัฐฯ ที่ทะลักเข้าตลาดโลก แข่งขันตัดราคาสินค้าไทยทั้งในและต่างประเทศ
แม้การส่งออกไทยในปี 2568 จะดู “สดใส” จากกระแสอิเล็กทรอนิกส์และตลาดสหรัฐฯ แต่แรงส่งดังกล่าวอาจเป็นเพียงภาพชั่วคราว ขณะที่ปี 2569 ความเสี่ยงเริ่มเด่นชัดมากขึ้น ทั้งเศรษฐกิจโลก นโยบายกีดกันทางการค้า และค่าเงินบาท
โจทย์สำคัญของไทยในระยะต่อไป จึงไม่ใช่แค่ “ส่งออกให้มาก” แต่ต้อง “เพิ่มมูลค่าและความสามารถแข่งขัน” เพื่อรับมือกับโลกการค้าที่ผันผวนและแข่งขันรุนแรงขึ้นทุกปี





