บมจ.สิงห์ เอสเตท (S) เป็นธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่ปั้นโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่หลายแห่งทั้งอาคารสำนักงาน ที่พักอาศัยและโรงแรม และล่าสุด สิงห์ เอสเตท ก็มีความเคลื่อนไหว ที่สร้างความฮือฮาไม่น้อยกับการส่ง บมจ. เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) บริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจด้านโรงแรมรีสอร์ท เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และเทรดวันแรกเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
วิสัยทัศน์ของ สิงห์ เอสเตท คือการมุ่งพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ ตลอดจนสร้างไลฟ์สไตล์ใหม่ ที่ครบถ้วนทั้งการพักอาศัย พักผ่อน ทำงาน และช้อปปิ้ง ด้วยการวางตำแหน่งของตนเองเป็น The Premier Lifestyle Developer & Global Holding Company
3 ธุรกิจ สิงห์ เอสเตท
การเติบโตของ บมจ.สิงห์ เอสเตท ในบทบาทของนักลงทุนและในฐานะ Holding Company นั้น ดำเนินงานภายใต้ 3 ธุรกิจ ประกอบด้วย
1) ธุรกิจเชิงพาณิชย์
ประกอบด้วยอสังหาริมทรัพย์ประเภทอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก ซึ่งถือเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพ และมีอัตราการเติบโตที่ดีรวมทั้งให้ผลตอบแทนต่อการลงทุนอยู่ในเกณฑ์ดี โดยธุรกิจในส่วนนี้ได้ถูกบรรจุอยู่ในแผนธุรกิจระยะ 5 ปี ที่จะขยายฐานธุรกิจผ่านการพัฒนาและการลงทุน โดยรายได้หลักจากธุรกิจดังกล่าวมาจาก รายได้ค่าเช่าพื้นที่ รายได้จากการให้บริการระบบสาธารณูปโภค และระบบรักษาความปลอดภัย และรายได้จากการให้บริการอื่นๆ โครงการในส่วนนี้ได้แก่อาคารซันทาวเวอร์ส (Suntowers) สิงห์ คอมเพล็กซ์ (SINGHA COMPLEX), เดอะไลท์เฮ้าส์ (The Light House) และอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง คือ โครงการ เอส โอเอซิส (S Oasis) ย่านวิภาวดี-รังสิต
2) ธุรกิจโรงแรม
ธุรกิจกลุ่มนี้ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีอนาคตเนื่องจากเติบโตอย่างก้าวกระโดด ภายหลังจากการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ และบริษัทฯ มีนโยบายขยายฐานธุรกิจด้วยการเข้าพัฒนาโครงการเอง การร่วมทุนและการเข้าซื้อกิจการ (Acquisition) โดยใช้เกณฑ์การพิจารณาซึ่งประกอบด้วย ทำเลที่ตั้ง คุณภาพของสินทรัพย์ ทีมผู้บริหาร ศักยภาพในการเติบโตทั้งในแง่ของการเพิ่มจำนวนห้องพัก อุปสงค์ และอุปทาน ซึ่งจะมีผลต่ออัตราการเข้าพักและอัตราค่าห้องพัก
ทั้งนี้ Business Platform ที่หลากหลายได้แก่
1) โรงแรมที่กลุ่มบริษัทบริหารจัดการเอง ได้แก่ โรงแรม พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ท และโรงแรม สันติบุรี เกาะสมุย ในประเทศไทย
2)โรงแรมที่บริหารจัดการเองผ่าน Franchise Agreement กับแบรนด์ระดับโลกได้แก่ SAii Lagoon Maldives, Curio Collection by Hilton ร่วมกับแบรนด์ Hilton และ Hard Rock Hotel Maldives ร่วมกับแบรนด์ Hardrock ในสาธารณรัฐมัลดีฟส์ และ 29 โรงแรมในสหราชอาณาจักรร่วมกับแบรนด์ Mercure และ Holiday Inn
3) โรงแรมที่บริหารผ่านสัญญาบริหารจัดการโรงแรม หรือ Hotel Management Agreementได้แก่ 6 โรงแรมในกลุ่ม Outrigger
3) ธุรกิจที่พักอาศัย
บริษัทฯ มีนโยบายพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่พักอาศัย ทั้งแนวสูงและแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศและคอนโดมิเนียม เจาะกลุ่มเป้าหมายระดับกลางถึงระดับลักซ์ชัวรี่ ภายใต้แบรนด์ที่ต่างกัน โดยโครงการระดับลักซ์ชัวรี่จะดำเนินการโดย สิงห์ เอสเตท อาทิ แบรนด์คอนโดมิเนียม THE ESSE, EYSE และ THE EXTRO รวมถึงแบรนด์บ้านเดี่ยวระดับอัลตร้าลักซ์ชัวรี่ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส (Santiburi The Residences) และโครงการระดับกลางถึงบน ดำเนินการโดย บมจ. เนอวานา ไดอิ บริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้น 52%
นริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ สิงห์ เอสเตท (S)
เป้าหมาย - ผลประกอบการ
นริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ สิงห์ เอสเตท (S) เปิดใจถึงเป้าหมายของบริษัทว่า จากการดำเนินธุรกิจภายใต้สามธุรกิจหลักดังกล่าว มีเป้าหมายที่จะนำบริษัทก้าวสู่การเป็น Global Holding Company ผ่านกลยุทธ์การขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ การสร้างแบรนด์ในระดับพรีเมียม การปรับองค์กรให้มีความคล่องตัวยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อส่งมอบคุณค่าที่ดีให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม
“ปี 2019 ถือเป็นปีที่สำคัญมากสำหรับสิงห์ เอสเตท เนื่องจากเป็นปีที่เรารับรู้รายได้จากการลงทุน และพัฒนาธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา นับแต่ธุรกิจที่พักอาศัยที่จะทยอยโอนกรรมสิทธิ์ อาคารสำนักงานและธุรกิจโรงแรมที่เราลงทุนและพัฒนาในปีที่ผ่านมาและจะรับรู้รายได้เต็มปีในปีนี้
ขณะเดียวกันบริษัทฯ ก็ยังคงขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม อาคารสำนักงานในทำเลศักยภาพ การเปิดโครงการ CROSSROADS ที่สาธารณรัฐ มัลดีฟส์ ยิ่งกว่านั้น ปี 2020 จะเป็นปีที่บริษัทฯ จะก้าวขึ้นเป็น Global Holding Company อย่างสมบูรณ์ หลังจากที่เราทยอยนำธุรกิจต่างๆ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เริ่มจากธุรกิจที่พักอาศัยที่ได้นำ บมจ. เนอวานา ไดอิ เข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทแรกต่อมาในช่วงต้นปี 2019 ได้จัดตั้งทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท (SPRIME) สำหรับธุรกิจอาคารสำนักงาน โดยเข้าลงทุนครั้งแรกในสิทธิการเช่าอาคารสำนักงานซันทาวเวอร์ส และนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2019 และได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม โดยที่ สิงห์ เอสเตทถือหุ้นอยู่ 20%
และอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของปีนี้ คือ สิงห์ เอสเตท ได้รับเลือกจากทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้เข้าสู่การเป็นหุ้นยั่งยืน หรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) ประจำปี 2562 โดยรายชื่อหุ้นยั่งยืนนี้ ยังใช้เป็นเกณฑ์คำนวณดัชนี SETTHSI เพื่อส่งเสริมการลงทุนในหุ้นยั่งยืน ที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับคะแนนการกำกับดูแลกิจการระดับ 5 ดาว”
ล่าสุด สิงห์ เอสเตท เดินหน้าอีกขั้นด้วยการนำธุรกิจโรงแรม เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ภายใต้ชื่อ บมจ.เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท และมีชื่อย่อ SHR ซึ่งมีวิสัยทัศน์ที่จะเป็นผู้ลงทุนโรงแรมและบริหารรีสอร์ทในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมต่างๆ ทั่วโลกโดยมุ่งสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่น่าประทับใจ ผ่านการบริการที่เป็นเลิศการให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่นตลอดจนธรรมชาติที่มีความสวยงามและอุดมสมบูรณ์
การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้ของ SHR ก็จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับ สิงห์ เอสเตท และเพิ่มความพร้อมในการลงทุนขยายธุรกิจในแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำทั่วโลกให้กับ SHR ด้วย”
ยุทธศาสตร์หลักขับเคลื่อนธุรกิจ สิงห์ เอสเตท
1 Reputable Global Holding Company
มุ่งขยายการลงทุนและพัฒนาสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนที่ดี ทั้งในและต่างประเทศ ผ่านการจัดโครงสร้างองค์กรที่เป็น Global Holding Company
2 Singha Estate Brand ‘Enriching Life’
มุ่งพัฒนาแบรนด์ สู่การเป็นนักสร้างคุณค่า ผ่านการใส่ใจและเลือกสรรสิ่งที่เป็นคุณค่าให้กับทุกคน
3 Business & Organization of Tomorrow
มุ่งพัฒนาองค์กรให้มีความยืดหยุ่นพร้อมกับการปรับตัวเพื่อการรับโอกาสใหม่ๆ ตลอดจนการพัฒนาธุรกิจใหม่เพื่อการเติบโตขององค์กรในระยะยาว
4 Sustainable Development
กลยุทธ์การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม มุ่งสร้างธุรกิจที่เติบโตควบคู่ไปกับชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม
ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ. สิงห์ เอสเตท
Balancing Portfolio กลยุทธ์ปรับสมดุล
เมื่อมองในมุมของการสร้าง Portfolio ของสินทรัพย์ที่มีศักยภาพซึ่งเป็นการสร้างความแข็งแกร่งจากภายในและเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักเพื่อตอบยุทธศาสตร์การเป็น Global Holding Company
ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ. สิงห์ เอสเตท กล่าวถึงประเภทที่มาของรายได้และการสร้างสมดุลของพอร์ต และเติมเต็มซึ่งกันและกันว่า "เนื่องจากธุรกิจของเรามีทั้งธุรกิจ ที่มีรายได้ประจำ (Recurring Income) อย่างธุรกิจเชิงพาณิชย์ที่มีทั้งอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก และธุรกิจโรงแรม กับธุรกิจที่ไม่มีรายได้ประจำ (Non-Recurring Income) อย่างธุรกิจที่พักอาศัย ดังนั้น สิงห์ เอสเตท จึงได้ปรับพอร์ตโฟลิโอของโครงสร้างรายได้ระหว่างสองกลุ่มนี้เป็น 50:50"
ฐิติมากล่าวถึงการปรับกลยุทธ์สร้างความสมดุลของโครงสร้างรายได้ว่า "จากการที่เราวางตำแหน่งอย่างชัดเจนว่า เราจะเป็น Global Holding Company ดังนั้น จึงต้องมีพอร์ตโฟลิโอของการลงทุนที่สร้างรายได้ให้กับนักลงทุน หรือผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ สำหรับธุรกิจที่พักอาศัย ซึ่งดำเนินธุรกิจภายใต้ บมจ. สิงห์ เอสเตท และ บมจ. เนอวานา ไดอิ (NVD) เป็นกลุ่มธุรกิจที่จะมีการรับรู้รายได้ทันทีที่มีการโอน ซึ่งถือเป็นรายได้ก้อนใหญ่ที่มีความสำคัญกับบริษัทฯ แต่ก็จะได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เราจึงต้องสร้างพอร์ตของรายได้ที่สามารถเติมเต็มซึ่งกันและกัน ทั้งจากกลุ่มธุรกิจให้เช่าอย่างธุรกิจอาคารพาณิชย์และธุรกิจของโรงแรม เพื่อให้ธุรกิจมีความสม่ำเสมอ และมีสัดส่วนรายได้มีความสมดุลกัน
นอกจากนี้เพื่อให้เราสามารถลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง เราจึงมีการ Recycle Capital โดยนำเงินจากการนำอาคารซันทาวเวอร์สเข้ากอง REIT มาพัฒนาโครงการ เอส โอเอซิส (S Oasis) ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานสูง 36 ชั้นบนถนนวิภาวดีรังสิต พื้นที่ประมาณ 7 ไร่ มูลค่าการลงทุนรวม 3,695 ล้านบาท โดยมีพื้นที่ให้เช่า (NLA) ประมาณ 5.3 หมื่นตารางเมตร และพื้นที่ค้าปลีกบางส่วน โดยจะแล้วเสร็จในปี 2564"
นอกจากนี้ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมซึ่งเป็นธุรกิจที่ขึ้นกับฤดูกาลท่องเที่ยว บริษัทฯได้ปรับกลยุทธ์ให้ธุรกิจนี้สามารถสร้างรายได้ 365 วันต่อเนื่องด้วยการทำ Diversified Location โดยพัฒนา Portfolio โรงแรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะมีฤดูกาลท่องเที่ยวแตกต่างกันทำให้มีรายได้ต่อเนื่องตลอดปี กล่าวคือ
- ช่วงตุลาคม - มีนาคม จะเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของโรงแรมในประเทศไทยทั้งฟากอ่าวไทยและฟากอันดามัน และโรงแรมในสาธารณรัฐมัลดีฟส์ ซึ่งอยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตรใกล้เคียงกับประเทศไทย เพียงแต่ความแตกต่างอยู่ที่สาธารณรัฐมัลดีฟส์ ฝนจะมาเร็วกว่าของประเทศไทยเล็กน้อย แต่ฝนจะตกเป็นช่วงๆ ไม่ตกตลอดวันเหมือนภาคใต้ของประเทศไทย
- ช่วงเมษายน - กันยายน จะเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของโรงแรมในสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิและสาธารณรัฐมอริเชียส ซึ่งมีอัตราการเข้าพักเกือบ100%
นอกจากฤดูกาลแล้ว กลยุทธ์อีกประการคือ การทำ Diversified Market Targets ไม่พึ่งพิงกับนักท่องเที่ยวชาติใดชาติหนึ่ง หากแต่ต้องสามารถตอบโจทย์นักท่องเที่ยวหลายๆ สัญชาติให้ได้มากที่สุด โดยโฟกัสกับตลาดนักท่องเที่ยวจากยุโรปกับเอเชียแปซิฟิก เนื่องจากนักท่องเที่ยวแต่ละสัญชาติก็มีลักษณะการใช้จ่ายและฤดูกาลท่องเที่ยวที่แตกต่างกัน ซึ่งตัวแปรนี้ก็จะมีผลต่อจำนวนวันพักของนักท่องเที่ยวด้วย อาทิ นักท่องเที่ยวที่เป็นแฟนคลับของสมุยและภูเก็ตนั้นก็จะเป็นนักท่องเที่ยวจากยุโรป ขณะเดียวกัน ก็เป็นนักท่องเที่ยวจากเอเชียไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย อินเดีย จีน หรือคนไทย ซึ่งกลุ่มนี้ก็จะยินดีมาพักในช่วงโลว์ซีซัน หรือโรงแรมในสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิและสาธารณรัฐมอริเชียส นักท่องเที่ยวที่มาพักก็จะเป็นนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ ซึ่งมักจะไม่มาท่องเที่ยวที่ประเทศไทย
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า กลยุทธ์การสร้าง Recurring Income ของกลุ่มธุรกิจโรงแรมจึงเป็นการดักนักท่องเที่ยวด้วยโลเกชั่นและนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคต่างๆ ที่มีสไตล์การท่องเที่ยวและการใช้จ่ายแตกต่างกันเพื่อเติมเต็มรายได้ที่ผันแปรไปตามฤดูกาลท่องเที่ยวและการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวในภูมิภาคต่างๆ
การดำเนินธุรกิจของ SHR ผ่าน 4 โมเดลธุรกิจ คือ
1. โรงแรมที่ SHR เป็นเจ้าของและบริหารเอง ได้แก่ โรงแรม สันติบุรี เกาะสมุย ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และโรงแรมพีพี ไอส์แลนด์วิลเลจ บีช รีสอร์ท ที่จังหวัดกระบี่
2. โรงแรมที่ SHR บริหารผ่าน Franchise Agreement กับแบรนด์ ระดับโลก เช่น Hard Rock, Hilton, Mercure และ Holiday Inn
3. โรงแรมที่ SHR บริหารผ่านสัญญาบริหารจัดการโรงแรม ภายใต้แบรนด์ Outrigger ได้แก่ โรงแรม Outrigger Laguna Phuket Beach Resort และโรงแรม Outrigger Koh Samui Beach Resort ประเทศไทย, โรงแรม Outrigger Fiji Beach Resort และโรงแรม Castaway Island สาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ โรงแรม Outrigger Mauritius Beach Resort สาธารณรัฐมอริเชียส และโรงแรม Outrigger Konotta Maldives Resort สาธารณรัฐมัลดีฟส์
4.โรงแรมที่บริหารผ่านแบรนด์ที่ SHR สร้างขึ้นมาเอง ซึ่งปัจจุบันได้สร้างแบรนด์แรกขึ้น คือ SAii โดยเริ่มใช้แบรนด์นี้ ที่สาธารณรัฐมัลดีฟส์เป็นแห่งแรก และยังมีแผนที่จะพัฒนาแบรนด์อื่นๆ สำหรับโรงแรมระดับ Mid-Scale ในประเทศไทย และในระดับภูมิภาค ซึ่งจะนำไปสู่การต่อยอดไปเป็นผู้ให้บริหารจัดการโรงแรมของผู้ประกอบการอื่นในอนาคต
เดิร์ก อังเดร ลีน่า คุยเบอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR)
ยุทธศาสตร์การเติบโต SHR
สำหรับการเติบโตในกลุ่มของธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท เดิร์ก อังเดร ลีน่า คุยเบอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) กล่าวถึงยุทธศาสตร์การเติบโตสู่เป้าหมายว่า
"SHR เน้นลงทุนในธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท โดยปัจจุบันมีห้องพัก รวมทั้งสิ้น 4,647 ห้อง จากโรงแรมและรีสอร์ทจำนวน 39 แห่งใน 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย สาธารณรัฐมัลดีฟส์ สาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ สาธารณรัฐมอริเชียสและสหราชอาณาจักร ทั้งนี้ พร้อมกันนี้ ในปี 2568 SHR ยังมีแผนที่จะสร้างโอกาสการลงทุนกับโครงการใหม่ๆ และตั้งเป้า ที่จะทำให้พอร์ตโฟลิโอของเราเติบโตขึ้นเป็น 2 เท่า คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี สำหรับการขยายตัวของธุรกิจโรงแรมก็จะมีทั้ง Greenfield Project ซึ่งเป็นทั้งโครงการโรงแรมที่พัฒนาใหม่ และ Brownfield Project ซึ่งเป็นการซื้อกิจการ (M&A)”
การเปิดตัว CROSSROADS ถือเป็นโครงการแห่งใหม่ของ SHR กับการลงทุนในธุรกิจระดับพรีเมียม และการ บริหารรีสอร์ทชั้นนำในระดับนานาชาติ โดยถือเป็นหนึ่งในแผนกลยุทธ์การลงทุนอย่างยั่งยืนของ SHR ในฐานะ Premier Lifestyle Developer และเพื่อตอกย้ำความเป็น Global Holding Company นอกจากนี้ การเปิดตัวโรงแรม SAii Lagoon Maldives ในเฟส 1 ของโครงการ CROSSROADS นั้นต้องบอกว่า นี่คือผลงานระดับโชว์เคสชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ของบริษัทที่จะได้เห็นกันเป็นครั้งแรกจากแบรนด์ SAii ของเรา
ทั้งนี้ การลงทุนใน CROSSROADS ในเฟสแรก ประกอบด้วย 3 เกาะ เริ่มเปิดให้บริการแล้ว 2 โรงแรม SAii Lagoon Maldives, Curio Collection by Hilton และ Hard Rock Hotel Maldives และThe Marina @ CROSSROADS แหล่งรวมการให้บริการเพื่อการพักผ่อนทั้งร้านค้า ร้านอาหาร บีชคลับ และศูนย์รวมกิจกรรมทางน้ำ รวมทั้งท่าจอดเรือยอร์ชระดับลักซ์ชัวรี่ รวมพื้นที่ 2 เกาะ โดยเกาะที่ 3 กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นโรงแรมแบบ High-end lifestyle resort คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในปี 2565
โดยการก่อสร้างบางส่วน SHR ใช้ระบบการก่อสร้างแบบพรีคาสท์เป็นแห่งแรกในสาธารณรัฐมัลดีฟส์ นอกจากนี้ SHR ยังมี First Right to Purchase และ Right of First Refusal ในการลงทุนอีก 6 เกาะ ที่ได้รับจากกลุ่มบุญรอดบริวเวอรี่ ซึ่งภาพรวมโครงการ จะมีทั้งหมด 9 เกาะมีพื้นที่ยาวรวม 7 กิโลเมตร
เดิร์กกล่าวต่อไปว่า "SHR เน้นเจาะกลุ่มนักเดินทางเชิงประสบการณ์ (Experiential Travelling) ซึ่งเป็นกลุ่มมิลเลนเนียล วัย 18-37 ปีที่มีมากกว่า 1,800 ล้านคนจากประชากรทั่วโลกกว่า 7,000 ล้านคน โดยกลุ่มมิลเลนเนียลในเอเชียถือเป็นกลุ่มที่เติบโตเร็วที่สุด คนกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่มองหาประสบการณ์เชิงไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ เพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากการเดินทาง และโรงแรมส่วนใหญ่ของ SHR ก็เป็นโรงแรมระดับ 4-4.5 ดาว และอยู่ในเซ็กเมนต์ของ Lifestyle Upscale ที่สามารถให้บริการกับกลุ่มมิลเลนเนียลได้เป็นอย่างดี โรงแรมที่ SHR จะโฟกัสในอนาคตคือ SAii แบรนด์โรงแรมระดับ Upper Upscale โดยมุ่งจับกลุ่มนักท่องเที่ยวเจเนอเรชั่น มิลเลนเนียล โดยได้เปิดโรงแรมแฟลกชิปที่แรกไปแล้ว คือ SAii Lagoon Maldives ที่โครงการ CROSSROADS และเตรียมที่จะเปิดตัวแบรนด์โรงแรมใหม่อีก 1 แบรนด์ ในปี 2565"